มองกรมฯ อย่างกลม
ตอนที่ 1 : การสร้างบทบาทและพื้นที่ดำเนินการใหม่บนแผนที่ยุทศาสตร์ชาติอย่างสง่างาม
จากภารกิจหลักของกรมฯ ที่ดำเนินการส่งเสริมอุตสาหกรรมด้านการเพิ่มผลิตภาพ (Productity) การบริหารจัดการและการสร้างผู้ประกอบการ เป็นหลักยังไม่เพียงพอที่จะสนองตอบต่อภาคอุตสาหกรรมได้ครบถ้วน และนับวันบทบาทและภารกิจของกรมฯ ที่ได้ดำเนินสืบทอดต่อกันมาอย่างยาวนานจะลดลำดับความสำคัญ (ในมุมมองของผู้ประกอบธุรกิจอุตสาหกรรม) จากแผนที่ยุทธศาสตร์ เนื่องจากมีหน่วยงานทางเลือกที่จะใช้บริการจากหน่วยงานอื่นๆ ได้ทั้งที่เป็นสถาบันอิสระ หน่วยงานภายใต้กำกับของรัฐ และหน่วยงานรัฐด้วยกันเอง ที่สร้างบทบาทและรุกพื้นที่การทำงานบนยุทศาสตร์ของชาติได้เทียบเท่าหรือเหนือกว่า หากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ยังนิ่งไม่คิดขยับปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานก็รังแต่จะลดคุณค่าในตัวเองลงไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้ตัว แล้วผู้มีส่วนได้เสีย (Stake holder ) ทั้งหลายไม่ช่วยกันแสวงหาหนทางเพิ่มคุณค่าให้องค์กรหรือ?
บทสรุปผลการศึกษาเพื่อจัดทำรูปแบบ (Model) การถ่ายทอดเทคโนโลยีอุตสาหกรรมแห่งอนาคตเพื่อนำไปปฏิบัติเชิงพาณิชย์
ตอนที่ 1 : การสร้างบทบาทและพื้นที่ดำเนินการใหม่บนแผนที่ยุทศาสตร์ชาติอย่างสง่างาม
จากภารกิจหลักของกรมฯ ที่ดำเนินการส่งเสริมอุตสาหกรรมด้านการเพิ่มผลิตภาพ (Productity) การบริหารจัดการและการสร้างผู้ประกอบการ เป็นหลักยังไม่เพียงพอที่จะสนองตอบต่อภาคอุตสาหกรรมได้ครบถ้วน และนับวันบทบาทและภารกิจของกรมฯ ที่ได้ดำเนินสืบทอดต่อกันมาอย่างยาวนานจะลดลำดับความสำคัญ (ในมุมมองของผู้ประกอบธุรกิจอุตสาหกรรม) จากแผนที่ยุทธศาสตร์ เนื่องจากมีหน่วยงานทางเลือกที่จะใช้บริการจากหน่วยงานอื่นๆ ได้ทั้งที่เป็นสถาบันอิสระ หน่วยงานภายใต้กำกับของรัฐ และหน่วยงานรัฐด้วยกันเอง ที่สร้างบทบาทและรุกพื้นที่การทำงานบนยุทศาสตร์ของชาติได้เทียบเท่าหรือเหนือกว่า หากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ยังนิ่งไม่คิดขยับปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานก็รังแต่จะลดคุณค่าในตัวเองลงไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้ตัว แล้วผู้มีส่วนได้เสีย (Stake holder ) ทั้งหลายไม่ช่วยกันแสวงหาหนทางเพิ่มคุณค่าให้องค์กรหรือ?
บทสรุปผลการศึกษาเพื่อจัดทำรูปแบบ (Model) การถ่ายทอดเทคโนโลยีอุตสาหกรรมแห่งอนาคตเพื่อนำไปปฏิบัติเชิงพาณิชย์
พัฒนาการของเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) และนาโนเทคโนโลยี (Nanotechnology) จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างมากมายมหาศาล และทำให้ให้เกิดการประยุกต์ใช้ในอย่างกว้างขวางในหลายสาขาอุตสาหกรรมและกิจกรรม รวมทั้งการเกิดธุรกิจใหม่ และจะมีผลอย่างมากต่อความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมต่างๆ รวมทั้งอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในบางอุตสาหกรรมได้
สำนักพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้ตระหนักว่าการพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพและนาโนเทคโนโลยีของประเทศไทยยังมีอยู่อย่างจำกัดเมื่อเทียบกับประเทศที่ก้าวหน้าทางอุตสาหกรรม และในประเทศไทยยังมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวอย่างจำกัดมาก จึงจัดทำโครงการศึกษานี้เพื่อจัดทำรูปแบบ (Model) การถ่ายทอดเทคโนโลยีชีวภาพและนาโนเทคโนโลยีสู่อุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อนำไปปฏิบัติเชิงพาณิชย์ ทั้งนี้โดยโครงการนี้ครอบคลุมรวมถึงการจัดทำโครงการนำร่อง (Pilot Project) การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการสร้างฐานข้อมูลเชื่อมโยงกับหน่วยงานเครือข่ายในการเอื้อประโยชน์ต่อวิสาหกิจในการเสาะหาข้อมูลความรู้ รวมทั้งเพื่อเสนอแนะยุทธศาสตร์การพัฒนาเทคโนโลยีและแนวทางการพัฒนาความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนอย่างบูรณาการเป็นระบบเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมให้มีประสิทธิภาพการผลิต มีสมรรถนะทางเทคโนโลยีและความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น
เทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่ “New Biotechnology” ซึ่งอันที่จริงหมายถึงกลุ่มของเทคโนโลยีที่ใช้ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิต (Organisms) หรือส่วนหนึ่งหรือสิ่งผลิตของสิ่งมีชีวิต หรือข้อมูลทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตในเชิงอุตสาหกรรมเพื่อการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจหรือเพื่อการประยุกต์ใช้ในด้านต่างๆ โดยอาศัยเทคนิคทางด้านพันธุกรรมศาสตร์ (Genetic Engineering) การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีชีวภาพเป็นไปอย่างกว้างขวางในหลายสาขาอุตสาหกรรมและกิจกรรม เช่น เกษตรกรรม ปศุสัตว์ อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมสิ่งทอ อุตสาหกรรมยา เวชภัณฑ์และเคมีภัณฑ์ การแพทย์ พลังงาน เหมืองแร่ ป่าไม้ ทรัพยากรทะเล และจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ในปัจจุบันเทคโนโลยีชีวภาพมีพัฒนาการอย่างรวดเร็ว สามารถยกระดับความเป็นอยู่ของมนุษย์ และมีผลอย่างมากต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
สำหรับ “นาโนเทคโนโลยี” นั้น หมายถึง การวิจัยและพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในระดับอะตอมหรือโมเลกุล ซึ่งมีขนาดตั้งแต่ 1-100 นาโนเมตร (10-9m หรือ หนึ่งในพันล้านส่วนของ 1 เมตร) ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมาได้มีความก้าวหน้าในการสร้างสารและสิ่งประดิษฐ์ต่างๆในระดับนาโนเมตรขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเทคโนโลยีมากมายหลายประเภทที่มีอยู่ในปัจจุบัน นาโนเทคโนโลยี สามารถประยุกต์ใช้ได้ในกิจกรรมและอุตสาหกรรมหลายสาขา ตั้งแต่เทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีวัสดุ พลังงาน เคมี สิ่งทอ ยาและการแพทย์ จนถึงการจัดการสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ทั้งเทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่และนาโนเทคโนโลยี เป็น Science-based Technologies ที่ต้องอาศัยกิจกรรมวิจัยและพัฒนา (R&D) เป็นหลัก สถาบันวิจัยและสถาบันการศึกษาจึงมีบทบาทค่อนข้างสูงในการพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ในเรื่องการพัฒนาเทคโนโลยีและใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ ปรากฏว่าที่มีบทบาทสูงอย่างแท้จริงคือภาคธุรกิจ ดังปรากฏว่า ในประเทศที่มีความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรม บริษัทขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัทข้ามชาติ นอกจากมีกิจกรรมวิจัยและพัฒนาภายในบริษัทเองแล้ว ยังมีการว่าจ้างสถาบันวิจัยและสถาบันการศึกษาทำการวิจัยเฉพาะด้านในเชิงลึก มากกว่าการนำผลงานวิจัยสำเร็จรูปที่มีอยู่แล้วจากสถาบันวิจัยและสถาบัน การศึกษามาใช้ประโยชน์โดยตรง
สถาบันวิจัยและสถาบันการศึกษาในประเทศอุตสาหกรรม ได้ช่วยให้เกิดบริษัทขนาดเล็กที่มีความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยี dedicated technology enterprises (DTEs) ที่ spin-off จากสถาบันวิจัยและสถาบันการศึกษา แต่ส่วนใหญ่ DTEs ที่อยู่รอดไม่สูญสิ้นธุรกิจไปก่อน มักลงเอยกลายเป็นผู้รับจ้างบริษัทใหญ่หรือบริษัทข้ามชาติทำงานวิจัยและพัฒนา หรือถูกซื้อไป หรือควบรวม ส่วนด้านนาโนเทคโนโลยี ซึ่งมีพัฒนาการอย่างจริงจังในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ปรากฏว่า DTEs ส่วนใหญ่ยังคงเป็นธุรกิจขนาดเล็กที่มีดวามเชี่ยวชาญเทคโนโลยีเฉพาะด้าน คือเป็น specialists ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งในช่วง 20 ปีที่ผ่านมามีการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว บริษัทข้ามชาติต่าง ๆ เริ่มหันหน้าเข้าหากันโดยร่วมมือกันในกิจกรรมบางด้านเพื่อ อาศัยประโยชน์ซึ่งกันและกัน เป็นพันธมิตรกันโดยมีความร่วมมือระหว่างกัน แต่เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ดีขึ้น (co-operative competition) โดยบางครั้งก็เป็นการร่วมมือระหว่างบริษัทข้ามชาติเพียงไม่กี่บริษัทในประเทศในการร่วมพัฒนาเทคโนโลยี บางครั้งรัฐบาลหรือหน่วยงานของภาครัฐก็มีบทบาทเป็นแกนนำ บางครั้งก็เป็นความร่วมมือด้านการวิจัยกับสถาบันวิจัยหรือสถาบันการศึกษา บางครั้งก็เป็นการร่วมมือระหว่างประเทศ ตลอดจนการที่บริษัทบางแห่งเข้าถือหุ้นในอีกบริษัทหรือเข้ายึดกิจการของบริษัทขนาดย่อมบางแห่ง เช่น DTEs ที่กล่าวแล้ว เพื่อให้ได้มาซึ่งเทคโนโลยีบางด้าน
การเกิดขึ้นของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีอุบัติใหม่ (emerging technologies) ใน ประเทศพัฒนาแล้วนั้นมีความหลากหลาย และโดยมีสภาวะแวดล้อมในประเทศที่เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ รวมทั้งการพัฒนางานวิจัยผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีกระบวนการผลิต และมีโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการเข้ามาและออกจากธุรกิจ เช่น ที่ปรึกษาทางธุรกิจ ระบบกฎหมายและการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ตลาดทุนสำหรับธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ เป็นต้น สำหรับในประเทศไทย แม้ภาครัฐและเอกชนลงทุนวิจัยและพัฒนามากขึ้น และมีการสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงระหว่างสถาบันวิจัย มหาวิทยาลัย อุตสาหกรรม และชุมชนอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น หากแต่งานวิจัยและพัฒนาที่นำไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างจริงจังยังอยู่ในวงจำกัด ในประเทศไทย รูปแบบธุรกิจที่เป็น Research-Technology Push ที่เกิดขึ้นจากการนำเอาผลงานวิจัยจากสถาบันวิจัย หรือของอาจารย์ในมหาวิทยาลัยไปใช้ในเชิงพาณิชย์ โดยธุรกิจเอกชนซื้อผลงานวิจัย และดำเนินการพัฒนาต่อยอดผลงานวิจัยดังกล่าวเองทั้งหมด มีน้อยมาก เพราะจุดอ่อนที่สำคัญในกระบวนการพัฒนานวัตกรรมของประเทศไทยคือ งานวิจัยจากสถาบันวิจัยและมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ส่วนการที่สถาบันวิจัย/มหาวิทยาลัยนำเอาหน่วยปฏิบัติการวิจัยหรือผลงานวิจัย spin-off มาจัดตั้งเป็นหน่วยธุรกิจเพื่อดำเนินการในเชิงพาณิชย์เอง ก็มีข้อจำกัดสำคัญคือนักวิชาการไม่มีคุณสมบัติและประสบการณ์ในการทำธุรกิจการ spin-off จากธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมในการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา และมองหาธุรกิจใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีอุบัติใหม่มีไม่มากในประเทศไทย รูปแบบธุรกิจมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นมากในประเทศไทย คือ การจัดตั้งธุรกิจใหม่โดยธุรกิจ(ขนาดกลาง)ที่มีอยู่เดิม เนื่องจากมีแรงจูงใจหลักมาจากแรงกดดันจากการแข่งขันจากต่างประเทศ ทำให้ต้องหันมาหาตลาดใหม่ และใช้นวัตกรรมทางเทคโนโลยีในการสร้างความแตกต่างให้กับตัวผลิตภัณฑ์ โดยนำเข้าหรือประยุกต์ใช้เทคโนโลยีหรือผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม มีผู้ประกอบการบางส่วนเริ่มมีการทำวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยและศูนย์แห่งชาติเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนเอง รวมทั้งร่วมกับบรรษัทข้ามชาติ หรือธุรกิจจากต่างประเทศในการนำเอาเทคโนโลยีและเครือข่ายทางธุรกิจมาใช้ในการพัฒนาธุรกิจใหม่ขึ้นมา อีกรูปแบบธุรกิจที่มีความเป็นไปได้คือ การจัดตั้งธุรกิจใหม่ start-up (โดยทั่วไปเป็นขนาดเล็ก)ที่ดำเนินการโดยผู้ประกอบการที่มีความสนใจในธุรกิจเทคโนโลยีอุบัติใหม่ โดยอาศัยความชำนาญเฉพาะทาง (specialization) ลักษณะของตลาดโดยทั่วไปจะเป็นตลาดแบบเฉพาะเจาะจง (niche market) โดยต้องมีการระดมทุนและการเสาะหาเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่
สำนักพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้ตระหนักว่าการพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพและนาโนเทคโนโลยีของประเทศไทยยังมีอยู่อย่างจำกัดเมื่อเทียบกับประเทศที่ก้าวหน้าทางอุตสาหกรรม และในประเทศไทยยังมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวอย่างจำกัดมาก จึงจัดทำโครงการศึกษานี้เพื่อจัดทำรูปแบบ (Model) การถ่ายทอดเทคโนโลยีชีวภาพและนาโนเทคโนโลยีสู่อุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อนำไปปฏิบัติเชิงพาณิชย์ ทั้งนี้โดยโครงการนี้ครอบคลุมรวมถึงการจัดทำโครงการนำร่อง (Pilot Project) การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการสร้างฐานข้อมูลเชื่อมโยงกับหน่วยงานเครือข่ายในการเอื้อประโยชน์ต่อวิสาหกิจในการเสาะหาข้อมูลความรู้ รวมทั้งเพื่อเสนอแนะยุทธศาสตร์การพัฒนาเทคโนโลยีและแนวทางการพัฒนาความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนอย่างบูรณาการเป็นระบบเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมให้มีประสิทธิภาพการผลิต มีสมรรถนะทางเทคโนโลยีและความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น
เทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่ “New Biotechnology” ซึ่งอันที่จริงหมายถึงกลุ่มของเทคโนโลยีที่ใช้ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิต (Organisms) หรือส่วนหนึ่งหรือสิ่งผลิตของสิ่งมีชีวิต หรือข้อมูลทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตในเชิงอุตสาหกรรมเพื่อการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจหรือเพื่อการประยุกต์ใช้ในด้านต่างๆ โดยอาศัยเทคนิคทางด้านพันธุกรรมศาสตร์ (Genetic Engineering) การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีชีวภาพเป็นไปอย่างกว้างขวางในหลายสาขาอุตสาหกรรมและกิจกรรม เช่น เกษตรกรรม ปศุสัตว์ อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมสิ่งทอ อุตสาหกรรมยา เวชภัณฑ์และเคมีภัณฑ์ การแพทย์ พลังงาน เหมืองแร่ ป่าไม้ ทรัพยากรทะเล และจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ในปัจจุบันเทคโนโลยีชีวภาพมีพัฒนาการอย่างรวดเร็ว สามารถยกระดับความเป็นอยู่ของมนุษย์ และมีผลอย่างมากต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
สำหรับ “นาโนเทคโนโลยี” นั้น หมายถึง การวิจัยและพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในระดับอะตอมหรือโมเลกุล ซึ่งมีขนาดตั้งแต่ 1-100 นาโนเมตร (10-9m หรือ หนึ่งในพันล้านส่วนของ 1 เมตร) ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมาได้มีความก้าวหน้าในการสร้างสารและสิ่งประดิษฐ์ต่างๆในระดับนาโนเมตรขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเทคโนโลยีมากมายหลายประเภทที่มีอยู่ในปัจจุบัน นาโนเทคโนโลยี สามารถประยุกต์ใช้ได้ในกิจกรรมและอุตสาหกรรมหลายสาขา ตั้งแต่เทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีวัสดุ พลังงาน เคมี สิ่งทอ ยาและการแพทย์ จนถึงการจัดการสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ทั้งเทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่และนาโนเทคโนโลยี เป็น Science-based Technologies ที่ต้องอาศัยกิจกรรมวิจัยและพัฒนา (R&D) เป็นหลัก สถาบันวิจัยและสถาบันการศึกษาจึงมีบทบาทค่อนข้างสูงในการพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ในเรื่องการพัฒนาเทคโนโลยีและใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ ปรากฏว่าที่มีบทบาทสูงอย่างแท้จริงคือภาคธุรกิจ ดังปรากฏว่า ในประเทศที่มีความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรม บริษัทขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัทข้ามชาติ นอกจากมีกิจกรรมวิจัยและพัฒนาภายในบริษัทเองแล้ว ยังมีการว่าจ้างสถาบันวิจัยและสถาบันการศึกษาทำการวิจัยเฉพาะด้านในเชิงลึก มากกว่าการนำผลงานวิจัยสำเร็จรูปที่มีอยู่แล้วจากสถาบันวิจัยและสถาบัน การศึกษามาใช้ประโยชน์โดยตรง
สถาบันวิจัยและสถาบันการศึกษาในประเทศอุตสาหกรรม ได้ช่วยให้เกิดบริษัทขนาดเล็กที่มีความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยี dedicated technology enterprises (DTEs) ที่ spin-off จากสถาบันวิจัยและสถาบันการศึกษา แต่ส่วนใหญ่ DTEs ที่อยู่รอดไม่สูญสิ้นธุรกิจไปก่อน มักลงเอยกลายเป็นผู้รับจ้างบริษัทใหญ่หรือบริษัทข้ามชาติทำงานวิจัยและพัฒนา หรือถูกซื้อไป หรือควบรวม ส่วนด้านนาโนเทคโนโลยี ซึ่งมีพัฒนาการอย่างจริงจังในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ปรากฏว่า DTEs ส่วนใหญ่ยังคงเป็นธุรกิจขนาดเล็กที่มีดวามเชี่ยวชาญเทคโนโลยีเฉพาะด้าน คือเป็น specialists ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งในช่วง 20 ปีที่ผ่านมามีการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว บริษัทข้ามชาติต่าง ๆ เริ่มหันหน้าเข้าหากันโดยร่วมมือกันในกิจกรรมบางด้านเพื่อ อาศัยประโยชน์ซึ่งกันและกัน เป็นพันธมิตรกันโดยมีความร่วมมือระหว่างกัน แต่เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ดีขึ้น (co-operative competition) โดยบางครั้งก็เป็นการร่วมมือระหว่างบริษัทข้ามชาติเพียงไม่กี่บริษัทในประเทศในการร่วมพัฒนาเทคโนโลยี บางครั้งรัฐบาลหรือหน่วยงานของภาครัฐก็มีบทบาทเป็นแกนนำ บางครั้งก็เป็นความร่วมมือด้านการวิจัยกับสถาบันวิจัยหรือสถาบันการศึกษา บางครั้งก็เป็นการร่วมมือระหว่างประเทศ ตลอดจนการที่บริษัทบางแห่งเข้าถือหุ้นในอีกบริษัทหรือเข้ายึดกิจการของบริษัทขนาดย่อมบางแห่ง เช่น DTEs ที่กล่าวแล้ว เพื่อให้ได้มาซึ่งเทคโนโลยีบางด้าน
การเกิดขึ้นของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีอุบัติใหม่ (emerging technologies) ใน ประเทศพัฒนาแล้วนั้นมีความหลากหลาย และโดยมีสภาวะแวดล้อมในประเทศที่เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ รวมทั้งการพัฒนางานวิจัยผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีกระบวนการผลิต และมีโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการเข้ามาและออกจากธุรกิจ เช่น ที่ปรึกษาทางธุรกิจ ระบบกฎหมายและการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ตลาดทุนสำหรับธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ เป็นต้น สำหรับในประเทศไทย แม้ภาครัฐและเอกชนลงทุนวิจัยและพัฒนามากขึ้น และมีการสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงระหว่างสถาบันวิจัย มหาวิทยาลัย อุตสาหกรรม และชุมชนอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น หากแต่งานวิจัยและพัฒนาที่นำไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างจริงจังยังอยู่ในวงจำกัด ในประเทศไทย รูปแบบธุรกิจที่เป็น Research-Technology Push ที่เกิดขึ้นจากการนำเอาผลงานวิจัยจากสถาบันวิจัย หรือของอาจารย์ในมหาวิทยาลัยไปใช้ในเชิงพาณิชย์ โดยธุรกิจเอกชนซื้อผลงานวิจัย และดำเนินการพัฒนาต่อยอดผลงานวิจัยดังกล่าวเองทั้งหมด มีน้อยมาก เพราะจุดอ่อนที่สำคัญในกระบวนการพัฒนานวัตกรรมของประเทศไทยคือ งานวิจัยจากสถาบันวิจัยและมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ส่วนการที่สถาบันวิจัย/มหาวิทยาลัยนำเอาหน่วยปฏิบัติการวิจัยหรือผลงานวิจัย spin-off มาจัดตั้งเป็นหน่วยธุรกิจเพื่อดำเนินการในเชิงพาณิชย์เอง ก็มีข้อจำกัดสำคัญคือนักวิชาการไม่มีคุณสมบัติและประสบการณ์ในการทำธุรกิจการ spin-off จากธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมในการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา และมองหาธุรกิจใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีอุบัติใหม่มีไม่มากในประเทศไทย รูปแบบธุรกิจมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นมากในประเทศไทย คือ การจัดตั้งธุรกิจใหม่โดยธุรกิจ(ขนาดกลาง)ที่มีอยู่เดิม เนื่องจากมีแรงจูงใจหลักมาจากแรงกดดันจากการแข่งขันจากต่างประเทศ ทำให้ต้องหันมาหาตลาดใหม่ และใช้นวัตกรรมทางเทคโนโลยีในการสร้างความแตกต่างให้กับตัวผลิตภัณฑ์ โดยนำเข้าหรือประยุกต์ใช้เทคโนโลยีหรือผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม มีผู้ประกอบการบางส่วนเริ่มมีการทำวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยและศูนย์แห่งชาติเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนเอง รวมทั้งร่วมกับบรรษัทข้ามชาติ หรือธุรกิจจากต่างประเทศในการนำเอาเทคโนโลยีและเครือข่ายทางธุรกิจมาใช้ในการพัฒนาธุรกิจใหม่ขึ้นมา อีกรูปแบบธุรกิจที่มีความเป็นไปได้คือ การจัดตั้งธุรกิจใหม่ start-up (โดยทั่วไปเป็นขนาดเล็ก)ที่ดำเนินการโดยผู้ประกอบการที่มีความสนใจในธุรกิจเทคโนโลยีอุบัติใหม่ โดยอาศัยความชำนาญเฉพาะทาง (specialization) ลักษณะของตลาดโดยทั่วไปจะเป็นตลาดแบบเฉพาะเจาะจง (niche market) โดยต้องมีการระดมทุนและการเสาะหาเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่
โอกาสในการพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีชีวภาพและนาโนเทคโนโลยีในประเทศไทยมีมากและหลากหลาย เช่น
· การพัฒนาพ่อแม่พันธุ์กุ้ง
· การตรวจวินิจฉัยโรคและการผลิตวัคซีนเพื่อป้องกันโรคในกุ้ง
· การปรับปรุงและพัฒนาพันธุ์พืชให้มีคุณสมบัติด้านต่างๆ ดีขึ้น และทนต่อโรค
· การผลิตโพลี/โมโนโคลนอลแอนติบอดี ในการตรวจสอบไวรัสพืช
· การผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์และเอ็นไซม์สำหรับการหมักอาหาร ปุ๋ยชีวภาพ สารชีวภาพ
· การวิจัยและพัฒนาน้ำยาตรวจจับไวรัสไข้หวัดนก H5N1
· การใช้สมุนไพรเพื่อพัฒนาเป็นยา
· การวิจัยและพัฒนาด้านสเต็มเซลล์ (stem cell) เพื่อรักษาโรคทางพันธุกรรม
· การประยุกต์ใช้นาโนเทคโนโลยีเพื่อยืดอายุการเก็บรักษาผลผลิตทางการเกษตรให้สดนานขึ้น
· การใช้นาโนเทคโนโลยีพัฒนาอปุกรณ์เพื่อตรวจวัดคุณสมบัติของผักและผลไม้เพื่อการจำหน่าย
· การใช้นาโนเทคโนโลยีสำหรับสกัดสารธรรมชาติเพื่อการทำเครื่องสำอางค์
· การพัฒนาสิ่งทอที่มีสมบัติพิเศษเฉพาะตามวัตถุประสงค์การใช้งาน
อย่างไรก็ตาม จากการไปสำรวจศึกษาธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีชีวภาพและนาโนเทคโนโลยี และจากการประชุมระดมความคิดกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ สถาบันเฉพาะทาง สถาบันการศึกษา และธุรกิจเอกชนที่เกี่ยวข้อง พบปัญหาที่ผู้ประกอบการประสบ ดังนี้
· ขาดความรู้ความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับเทคโนโลยี และประเด็นท้าทายของธุรกิจเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง
· ขาดความสามารถและประสบการณ์ในการบริหารจัดการธุรกิจ และการพัฒนาธุรกิจ
· ขาดเงินทุนและทรัพยากรที่จำเป็นต่อการทำงานวิจัยและพัฒนา
· ขาดช่องทางที่จะเข้าถึงเทคโนโลยีระดับแนวหน้าทั้งด้านผลิตภัณฑ์กระบวนการผลิตและบริการที่เกี่ยว
ข้อง
· ขาดช่องทางที่จะเข้าถึงและสร้างพันธมิตรและความร่วมมือทางเทคโนโลยี ธุรกิจ และการตลาดใน
· ขาดช่องทางที่จะเข้าถึงและสร้างพันธมิตรและความร่วมมือทางเทคโนโลยี ธุรกิจ และการตลาดใน
ระดับระหว่างประเทศ
· นักลงทุนและแหล่งทุนที่จะสนับสนุนมีจำกัด และส่วนใหญ่ขาดความเข้าใจในเทคโนโลยีและธุรกิจใหม่นี้
· โครงสร้างพื้นฐานทางนวัตกรรม และสภาพแวดล้อมทางนโยบายและการสนับสนุนจากภาครัฐยังไม่เอื้อ
· นักลงทุนและแหล่งทุนที่จะสนับสนุนมีจำกัด และส่วนใหญ่ขาดความเข้าใจในเทคโนโลยีและธุรกิจใหม่นี้
· โครงสร้างพื้นฐานทางนวัตกรรม และสภาพแวดล้อมทางนโยบายและการสนับสนุนจากภาครัฐยังไม่เอื้อ
อำนวย
จากการศึกษาเปรียบเทียบกับประเทศที่มีระดับการพัฒนาเทคโนโลยีที่สูงพบว่ายุทธศาสตร์และแนวนโยบายการพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมของไทยมีข้อแตกต่างที่จัดเป็นปัญหาที่สำคัญ คือ
· ประเทศไทยนอกจากมีการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาน้อยมากเมื่อเทียบเป็นสัดส่วนของมวลรวมผลผลิตประชาชาติแล้ว ยังไม่มีการส่งเสริมการพัฒนาสมรรถนะทางเทคโนโลยีในภาคการผลิตโดยตรงอย่างจริงจัง (นอกจากความช่วยเหลือเล็กน้อยในการสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนา) แต่มุ่งเน้นการเสริมสร้างงานวิจัยและพัฒนาในภาครัฐนอกภาคการผลิต ส่งผลให้ภาคเอกชนของไทยมีการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนารวมทั้งการพัฒนาความสามารถอื่นอันจำเป็นต่อการพัฒนาสมรรถนะทางเทคโนโลยีและธุรกิจอุตสาหกรรมน้อยมาก
· ประเทศที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมใช้ประโยชน์จากการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาสมรรถนะทางเทคโนโลยี โดยมีกระบวนการทั้งในภาคธุรกิจและภาครัฐในการสร้างกลไกและองค์กรที่จะเสาะหา ดูดซับ และเรียนรู้เทคโนโลยีจากต่างประเทศอย่างจริงจังควบคู่ไปกับการลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศ ในขณะที่ในประเทศไทย รัฐก็มิได้มีเครื่องมือทางนโยบายอันใดที่ช่วยเกื้อหนุนให้อุตสาหกรรมใช้ประโยชน์จากการนำเข้าเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาขีดความสามารถทางเทคโนโลยีในระยะยาว และการส่งเสริมการลงทุนของไทยมิได้มุ่งเน้นการถ่ายทอดเทคโนโลยีเป็นประเด็นหลัก การลงทุนจากต่างประเทศเป็นเพียงการใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการส่งออกทางอ้อมสู่ตลาดโลก
· การแข่งขันเป็นแรงกระตุ้นสำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดนวัตกรรม รัฐบาลของประเทศที่ก้าวหน้า ไม่เพียงแต่เกื้อหนุนการพัฒนาเทคโนโลยีในภาคการผลิต แต่แทรกแซงอย่างมากในการสร้างความต้องการในการยกระดับเทคโนโลยีในภาคการผลิตเพื่อเตรียมตัวเพื่อไปแข่งขันในตลาดโลก ทำให้ภาคอุตสาหกรรมต้องตื่นตัวและพัฒนาเทคโนโลยีอยู่เสมอ และนี่คือข้อแตกต่างที่สำคัญยิ่งอีกประการหนึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศไทยที่การส่งเสริมอุตสาหกรรมโดยภาครัฐมิได้ให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ ในลักษณะแลกเปลี่ยนกับการที่ธุรกิจมีประสิทธิภาพสูงขึ้นหรือขยายสู่การแข่งขันในระดับโลกได้ยิ่งขึ้นเป็นรางวัล แต่เน้นการช่วยเหลือในการลดภาระค่าใช้จ่ายในการซื้อเครื่องจักรอุปกรณ์มากกว่าด้านเทคโนโลยีในเชิงความรู้ ดังนั้น เมื่อรัฐไม่สร้างแรงกดดันในการแข่งขันและไม่มีมาตรการจริงจังที่เน้นในเรื่องความรู้ การใช้ประโยชน์จากการนำเข้าเทคโนโลยีเพื่อเป็นฐานการพัฒนาเทคโนโลยีต่อไปในประเทศไทยจึงไม่เกิดขึ้น
· ในประเทศที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและอุตสาหกรรม สถาบันวิจัยภาครัฐมีบทบาท "สนับสนุน" การพัฒนาเทคโนโลยีของเอกชน (ไม่ใช่ทำหน้าที่พัฒนาเทคโนโลยีแทนภาคอุตสาหกรรมดังที่เป็นอยู่ในประเทศไทย) ความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับภาคอุตสาหกรรมมีการประสานงานกันจากทั้งสองทางมากกว่าจะเป็นการสื่อสารทางเดียวจากหน่วยงานภาครัฐไปสู่ภาคเอกชน และภาคอุตสาหกรรมมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้หน่วยงานภาครัฐดำเนินการวิจัยหรือกิจกรรมทางเทคโนโลยีตามที่ภาคอุตสาหกรรมต้องการ และองค์กรภาครัฐมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาให้สอดคล้องกับความต้องการที่แตกต่างกันไปในแต่ละอุตสาหกรรมและแต่ละช่วงเวลาของการพัฒนาอุตสาหกรรม และไม่จำกัดหน้าที่อยู่เพียงการวิจัยและพัฒนาดังที่เป็นอยู่ในประเทศไทย แต่มีนวัตกรรมในการสร้างองค์กรใหม่ ๆ เพื่อผนึกกำลังกันในการกระตุ้น และผลักดันให้ธุรกิจเอกชนยกระดับขีดความสามารถทางเทคโนโลยี นอกจากนี้ การเคลื่อนย้ายบุคลากรจากสถาบันวิจัยไปสู่ภาคเอกชน (ซึ่งจัดเป็นภารกิจที่สำคัญของสถาบัน) เป็นกลไกการถ่ายทอดและแพร่กระจายเทคโนโลยีที่ดีมาก และช่วยให้งานวิจัยถูกนำไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ได้
· ในประเทศเหล่านี้ รัฐมีมาตรการส่งเสริมธุรกิจเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมอย่างมากมายและในขอบเขตที่กว้างขวาง เช่น การให้เงินทุนให้เปล่าในการวิจัยและพัฒนา การให้ทุนอุดหนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ การตั้งและสนับสนุนให้จัดตั้งกองทุน Venture Capital Fund การให้บริการด้านคำปรึกษาและความช่วยเหลือทางเทคโนโลยีและการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยี และความช่วยเหลือแก่ธุรกิจเอกชนในการเสาะหาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ในการเชื่อมโยงกับบริษัทข้ามชาติเพื่อการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยี และการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ตลอดจนการสนับสนุนการฝึกอบรมและการจัดตั้งสถาบันฝึกอบรมทางเทคโนโลยีต่างๆมากมาย
· ประการสุดท้ายคือ การพัฒนากำลังคน ประเทศทุกประเทศที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจล้วนได้เน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์มาเป็นเวลาหลายทศวรรษ การลงทุนด้านการศึกษาและการผลิตบุคลากรระดับสูงเป็นจำนวนมากเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยพัฒนาทรัพยากรบุคคลของประเทศให้มีคุณภาพและมีความพร้อมที่จะเรียนรู้เทคโนโลยี ทำให้สามารถยกระดับขีดความสามารถทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว และทำให้สามารถพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างก้าวกระโดด และในปัจจุบันประเทศเหล่านั้นกำลังเร่งรัดการพัฒนากำลังคนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในระดับสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีชีวภาพและนาโนเทคโนโลยี เพื่อรองรับการแข่งขันทางอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีในอนาคต
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมในฐานะหน่วยงานที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับภาคอุตสาหกรรมจึงควรจะเข้าไปสนับสนุนการดำเนินมาตรการของภาครัฐในการส่งเสริมให้เกิดธุรกิจเทคโนโลยีใหม่ในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจและตัวผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเป็นหลัก เพื่อทำให้ผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมเกิดความตระหนักถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอนาคตที่สำคัญ และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งเตรียมความพร้อมให้กับผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมให้สามารถมองหาโอกาส และพัฒนาธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีอุบัติใหม่เป็นฐานในการสร้างอุตสาหกรรมใหม่สำหรับประเทศไทย ทั้งนี้โดย สามารถดำเนินการดังนี้
มาตรการระยะใกล้ (ปัจจุบันถึง 3-5 ปี) ที่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมควรดำเนินการ
ใช้รูปแบบ (model) แนวทางการถ่ายทอดเทคโนโลยีอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (ดังรายละเอียดในรายงาน) ที่ครอบคลุม 2 ระยะของการพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีใหม่ ได้แก่ Founding Stage (ผู้ประกอบการมองเห็นถึงโอกาสทางธุรกิจและเริ่มพัฒนาแนวคิดทางธุรกิจ) และ Startup Stage (ผู้ประกอบการพัฒนาแผนธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรมจากแนวคิดทางธุรกิจ พัฒนาผลิตภัณฑ์หรือกระบวนการต้นแบบ ทดสอบตลาดเบื้องต้นและเสาะหาแหล่งเงินทุนเบื้องต้น) โดยใช้ระยะเวลาดำเนินการรวมทั้งสิ้น 12 เดือนต่อโปรแกรม ในการช่วยธุรกิจ (1) พัฒนาแนวคิดและโอกาสทางธุรกิจ (2) พัฒนาแผนธุรกิจ และ (3) พัฒนาผลิตภัณฑ์และเริ่มต้นธุรกิจ โดย
· จัดอบรมโปรแกรม IDEA (Innovation Development and Enterprise Advancement) ให้กับธุรกิจที่เข้าร่วมโครงการโดยอาศัยที่ปรึกษาซึ่งที่เป็นนักธุรกิจที่มีประสบการณ์เข้ามาเป็นที่ปรึกษาเพื่อชี้แนะแนวทางการสร้างธุรกิจใหม่ใน 4 ด้านหลัก ได้แก่
- การจัดการเทคโนโลยี ประกอบด้วย การจัดการกระบวนการและโครงการวิจัยและพัฒนา การจัดการทรัพย์สินทางปัญญา การถ่ายทอดเทคโนโลยีและการขอถือสิทธิ์ทางเทคโนโลยี และการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ
- การพัฒนากลยุทธ์ทางธุรกิจและการจัดการธุรกิจ
- การตลาดสำหรับธุรกิจเทคโนโลยีใหม่
- การจัดการทางการเงิน
· สนับสนุนการจัด forum และการศึกษาดูงานที่เกี่ยวข้อง
· พัฒนาและจัดทำแผนธุรกิจ
· ประสานงานกับแหล่งทุนเพื่อสนับสนุนการดำเนินการ
· ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆและจัดหาผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยี
มาตรการระยะกลาง (ปัจจุบันถึง 5-10 ปี) ที่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมควรดำเนินการ
1. จัดหาและสร้าง pool ของผู้เชี่ยวชาญทางธุรกิจและเทคโนโลยีมาเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทที่เข้าร่วมโปรแกรมการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจใหม่ พร้อมกับพัฒนาระบบที่ปรึกษาอุตสาหกรรมเพื่อสนับสนุนการขยายผลต่อไปในอนาคต
2. ประสานงานกับหน่วยงานส่งเสริมด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม การตลาดและธุรกิจ เพื่อทำให้เกิดการพัฒนาแนวคิดทางธุรกิจของผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีใหม่ รวมทั้งการสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจในอนาคต
3. ดำเนินมาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีใหม่ เพื่อทำการสำรวจและเสาะหาข้อมูลตลาดและโอกาสทางการตลาด เช่น การดูงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ การจัดแสดงความรู้และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี
4. สนับสนุนให้หน่วยงานหรือองค์กรที่มีบทบาทหลักในการสนับสนุนการพัฒนาวิสาหกิจหรือองค์กรที่เป็นตัวคูณในการสร้างธุรกิจเทคโนโลยีใหม่ เช่น สมาคมธุรกิจผลิตภัณฑ์และการค้า กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม เป็นต้น
5. จัดทำและพัฒนาระบบฐานข้อมูลอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นแหล่งข้อมูลพื้นฐานสนับสนุนการถ่ายทอดเทคโนโลยีในเชิงพาณิชย์
มาตรการระยะกลาง (ปัจจุบันถึง 5-10 ปี) ที่ภาครัฐควรดำเนินการ
1. ภาครัฐควรจัดสรรทรัพยากรและงบประมาณที่เหมาะสมอย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับหน่วยงานวิจัยในภาครัฐและสถาบันการศึกษา และส่งเสริมหรือรณรงค์ให้เกิดความต้องการของตลาดผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีอุบัติใหม่ในประเทศ
2. รณรงค์ให้ภาคเอกชนมีการตื่นตัวและสนใจลงทุนพัฒนาและ/หรือประยุกต์ใช้เทคโนโลยี ชีวภาพและนาโนเทคโนโลยีมากขึ้น เพื่อสนับสนุนให้มีบริษัทธุรกิจเทคโนโลยีสมัยใหม่เกิดมากขึ้น ทั้งที่เป็นธุรกิจขนาดเล็กที่เริ่มตั้ง (start-up) และธุรกิจที่ขยายจากธุรกิจที่มีอยู่แล้วทั้งธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่
3. ภาครัฐควรจัดทำมาตรการเพื่อพัฒนาความสามารถในการประกอบการในธุรกิจเทคโนโลยีใหม่ โดยเฉพาะการสร้างผู้ประกอบการใหม่ การจัดการนวัตกรรมและการถ่ายทอดเทคโนโลยี
4. ภาครัฐควรสนับสนุนให้เกิดรูปแบบธุรกิจที่มีแรงผลักดันมาจากภาคอุตสาหกรรมโดยการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับองค์กรที่จะเข้าธุรกิจเทคโนโลยีใหม่
5. ภาครัฐและภาคเอกชนควรร่วมกันพัฒนากลไกสนับสนุนด้านเงินทุน เช่น กองทุนส่งเสริมธุรกิจใหม่ กองทุนร่วมทุนของภาคเอกชน (Venture Capital หรือ Private Equity Fund) และการสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจและเทคโนโลยี (Strategic Alliance and Networking)
6. พัฒนาระบบรับรองมาตรฐานและการทดสอบผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีชีวภาพและนาโนเทคโนโลยีมาใช้ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อการส่งเสริมการลงทุนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ และการคุ้มครองผู้บริโภคสำหรับการจำหน่ายในประเทศ และการให้การรับรองสำหรับการส่งออก
7. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับกฎระเบียบและกฎหมายที่มีอยู่ เช่น การรับรองมาตรฐาน การโฆษณาและทำตลาดในประเทศ การนำเข้าอุปกรณ์และเครื่องมือสำหรับงานวิจัยกับการผลิตจำเป็นต้องได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัย เพื่อรองรับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีชีวภาพและนาโนเทคโนโลยีกับธุรกิจที่กำลังเพิ่มมากขึ้นในอนาคต
8. จัดให้เครื่องมือชั้นสูงให้ธุรกิจเช่า การให้ทุนประเดิม การให้คำปรึกษาทั้งทางด้านเทคนิคการจัดการ การฝึกอบรม งานบริการ เช่น การจดสิทธิบัตร และการเข้าถึงฐานข้อมูลผู้เชี่ยวชาญและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี รวมทั้งการจัดให้เกิดการรวมกลุ่มอุตสาหกรรม เป็นต้น
ข้อเสนอแนะทางยุทธศาสตร์
1. นโยบายเศรษฐกิจ นโยบายอุตสาหกรรม และนโยบายด้านการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะต้องสอดคล้องประสานกันในทิศทางเดียวกันที่มุ่งสร้างความเข้มแข็งของภาคอุตสาหกรรมในระยะยาวและมุ่งเน้นให้ธุรกิจอุตสาหกรรมก้าวกระโดดทางเทคโนโลยี
2. รัฐจะต้องทบทวนการส่งเสริมการลงทุนจากการอุดหนุนการลงทุนทางกายภาพ (Physical Capital) มาเป็นการอุดหนุนการลงทุนทางความรู้ (Knowledge Capital) และเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาสมรรถนะทางเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมของประเทศ
3. นโยบายพัฒนาเทคโนโลยีต้องมุ่งเน้นการพัฒนาสมรรถนะทางเทคโนโลยีในภาคการผลิตโดยตรงอย่างจริงจัง มากกว่าเพียงการเสริมสร้างงานวิจัยและพัฒนาในภาครัฐนอกภาคการผลิต และการสนับสนุนต้องมีขอบข่ายกว้างขวางกว่าการ “วิจัยและพัฒนา (R&D)” และจะต้องมุ่งเน้นการพัฒนาความสามารถของภาคอุตสาหกรรมในการดูดซับเทคโนโลยีจากต่างประเทศและการพัฒนาขีดความสามารถด้านอื่นๆในลักษณะองค์รวม (Holistic)
ข้อเสนอแนะในทางปฏิบัติตามแนวยุทธศาสตร์/นโยบายใหม่: มาตรการระยะยาว (ปัจจุบันถึง 10-15ปี)
1. ทบทวนมาตรการทางด้านภาษี สิทธิประโยชน์และทุนอุดหนุน เพื่อการพัฒนาความสามารถทางเทคโนโลยีให้มีขอบข่ายกว้างขวางขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรเน้นการพัฒนา “ความสามารถในการออกแบบและวิศวกรรม” ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิต และครอบคลุมความสามารถอื่นในการดำเนินธุรกิจ เช่น การจัดการการผลิต การบริหารธุรกิจ การตลาดและการเงิน และทบทวนความเหมาะสมในการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีโดยกว้างขวางเทียบกับการให้ทุนอุดหนุนโดยเฉพาะโครงการ (ในลักษณะ “Pick Winners”) และการลงทุนเพื่อทำวิจัยและพัฒนาในภาคธุรกิจ ควรใช้รูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ การเกิดบริษัทร่วมทุน และการร่วมวิจัยกับทางหน่วยงานของรัฐ
2. สนับสนุนการเสาะหาและวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับตลาดหลักต่างๆ และแนวโน้มของการพัฒนาเทคโนโลยีและกฎกติกาการค้าสำหรับการกำหนดยุทธศาสตร์ทางธุรกิจทั้งระยะสั้นและระยะยาว พร้อมทั้งพิจารณาการให้ทุนอุดหนุนแก่ธุรกิจที่ต้องไปเปิดตลาดสำหรับสินค้าใหม่ในต่างประเทศหรือในตลาดใหม่
3. เปลี่ยนวิธีการส่งเสริมการลงทุนจากการอุดหนุนในด้านการลงทุนเครื่องจักรอุปกรณ์ (Physical Capital) มาเป็นการอุดหนุนในด้านการเรียนรู้และการถ่ายทอดเทคโนโลยี (Human and Knowledge Capital)
4. ส่งเสริมการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจและเทคโนโลยีระหว่างบริษัทไทยกับบรรษัทข้ามชาติในไทย และระหว่างบริษัทไทยกับธุรกิจในต่างประเทศ (รวมทั้งหน่วยงานพัฒนาเทคโนโลยีในต่างประเทศ) ทั้งนี้โดยมิใช่เพื่อประโยชน์ด้านทุนและตลาดโดยลำพัง แต่เพื่อการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการถ่ายเทบุคลากร
5. การวางแผนพัฒนาอุตสาหกรรมและเทคโนโลยียุทธศาสตร์ไม่เพียงแต่ต้องมี Steering Committees ที่จำเป็น แต่ต้องมีการพัฒนากระบวนการวางแผน และปฏิรูปองค์กร(Institutional Reform and Innovation) ในกรอบแนวคิดหรือกระบวนทัศน์ใหม่ (New Paradigm) ด้วย และหน่วยงานภาครัฐจะต้องมีการปรับเปลี่ยนองค์กร และวิธีการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพ
6. การสร้างกำลังคนด้านเทคโนโลยีชีวภาพและนาโนเทคโนโลยี ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพที่สอดรับกับความต้องการของตลาด โดยอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องทั้งสถาบันการศึกษา หน่วยงานวิจัย ตลอดจนภาพเอกชน รวมทั้งมาตรการจูงใจในการจ้างบุคลากรจากต่างประเทศ
7. ในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ของประเทศ เช่น ด้านอุตสาหกรรมอาหาร ควรมีความพยายามผลักดันให้มีสถาบันหรือหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำหนดทิศทางงานวิจัยและพัฒนาของประเทศ โดยอาศัยกลไกการให้ทุนวิจัย ความร่วมมือวิจัยและอื่นๆ รวมทั้งการจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนาเทคโนโลยีเฉพาะอุตสาหกรรมและ Clusters ที่เกี่ยวข้องโดยเป็นกองทุนร่วมของรัฐและเอกชนที่ธุรกิจสามารถขอรับการสนับสนุนเพื่อการวิจัยและการพัฒนาสมรรถนะทางเทคโนโลยีต่างๆ
ธวัชชัย มูลรังษี
ที่มา : บทสรุปผู้บริหารสรุปผลการศึกษาเพื่อจัดทำรูปแบบ (Model) การถ่ายทอดเทคโนโลยีอุตสาหกรรมแห่งอนาคตเพื่อนำไปปฏิบัติเชิงพาณิชย์
จากการศึกษาเปรียบเทียบกับประเทศที่มีระดับการพัฒนาเทคโนโลยีที่สูงพบว่ายุทธศาสตร์และแนวนโยบายการพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมของไทยมีข้อแตกต่างที่จัดเป็นปัญหาที่สำคัญ คือ
· ประเทศไทยนอกจากมีการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาน้อยมากเมื่อเทียบเป็นสัดส่วนของมวลรวมผลผลิตประชาชาติแล้ว ยังไม่มีการส่งเสริมการพัฒนาสมรรถนะทางเทคโนโลยีในภาคการผลิตโดยตรงอย่างจริงจัง (นอกจากความช่วยเหลือเล็กน้อยในการสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนา) แต่มุ่งเน้นการเสริมสร้างงานวิจัยและพัฒนาในภาครัฐนอกภาคการผลิต ส่งผลให้ภาคเอกชนของไทยมีการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนารวมทั้งการพัฒนาความสามารถอื่นอันจำเป็นต่อการพัฒนาสมรรถนะทางเทคโนโลยีและธุรกิจอุตสาหกรรมน้อยมาก
· ประเทศที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมใช้ประโยชน์จากการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาสมรรถนะทางเทคโนโลยี โดยมีกระบวนการทั้งในภาคธุรกิจและภาครัฐในการสร้างกลไกและองค์กรที่จะเสาะหา ดูดซับ และเรียนรู้เทคโนโลยีจากต่างประเทศอย่างจริงจังควบคู่ไปกับการลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศ ในขณะที่ในประเทศไทย รัฐก็มิได้มีเครื่องมือทางนโยบายอันใดที่ช่วยเกื้อหนุนให้อุตสาหกรรมใช้ประโยชน์จากการนำเข้าเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาขีดความสามารถทางเทคโนโลยีในระยะยาว และการส่งเสริมการลงทุนของไทยมิได้มุ่งเน้นการถ่ายทอดเทคโนโลยีเป็นประเด็นหลัก การลงทุนจากต่างประเทศเป็นเพียงการใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการส่งออกทางอ้อมสู่ตลาดโลก
· การแข่งขันเป็นแรงกระตุ้นสำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดนวัตกรรม รัฐบาลของประเทศที่ก้าวหน้า ไม่เพียงแต่เกื้อหนุนการพัฒนาเทคโนโลยีในภาคการผลิต แต่แทรกแซงอย่างมากในการสร้างความต้องการในการยกระดับเทคโนโลยีในภาคการผลิตเพื่อเตรียมตัวเพื่อไปแข่งขันในตลาดโลก ทำให้ภาคอุตสาหกรรมต้องตื่นตัวและพัฒนาเทคโนโลยีอยู่เสมอ และนี่คือข้อแตกต่างที่สำคัญยิ่งอีกประการหนึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศไทยที่การส่งเสริมอุตสาหกรรมโดยภาครัฐมิได้ให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ ในลักษณะแลกเปลี่ยนกับการที่ธุรกิจมีประสิทธิภาพสูงขึ้นหรือขยายสู่การแข่งขันในระดับโลกได้ยิ่งขึ้นเป็นรางวัล แต่เน้นการช่วยเหลือในการลดภาระค่าใช้จ่ายในการซื้อเครื่องจักรอุปกรณ์มากกว่าด้านเทคโนโลยีในเชิงความรู้ ดังนั้น เมื่อรัฐไม่สร้างแรงกดดันในการแข่งขันและไม่มีมาตรการจริงจังที่เน้นในเรื่องความรู้ การใช้ประโยชน์จากการนำเข้าเทคโนโลยีเพื่อเป็นฐานการพัฒนาเทคโนโลยีต่อไปในประเทศไทยจึงไม่เกิดขึ้น
· ในประเทศที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและอุตสาหกรรม สถาบันวิจัยภาครัฐมีบทบาท "สนับสนุน" การพัฒนาเทคโนโลยีของเอกชน (ไม่ใช่ทำหน้าที่พัฒนาเทคโนโลยีแทนภาคอุตสาหกรรมดังที่เป็นอยู่ในประเทศไทย) ความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับภาคอุตสาหกรรมมีการประสานงานกันจากทั้งสองทางมากกว่าจะเป็นการสื่อสารทางเดียวจากหน่วยงานภาครัฐไปสู่ภาคเอกชน และภาคอุตสาหกรรมมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้หน่วยงานภาครัฐดำเนินการวิจัยหรือกิจกรรมทางเทคโนโลยีตามที่ภาคอุตสาหกรรมต้องการ และองค์กรภาครัฐมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาให้สอดคล้องกับความต้องการที่แตกต่างกันไปในแต่ละอุตสาหกรรมและแต่ละช่วงเวลาของการพัฒนาอุตสาหกรรม และไม่จำกัดหน้าที่อยู่เพียงการวิจัยและพัฒนาดังที่เป็นอยู่ในประเทศไทย แต่มีนวัตกรรมในการสร้างองค์กรใหม่ ๆ เพื่อผนึกกำลังกันในการกระตุ้น และผลักดันให้ธุรกิจเอกชนยกระดับขีดความสามารถทางเทคโนโลยี นอกจากนี้ การเคลื่อนย้ายบุคลากรจากสถาบันวิจัยไปสู่ภาคเอกชน (ซึ่งจัดเป็นภารกิจที่สำคัญของสถาบัน) เป็นกลไกการถ่ายทอดและแพร่กระจายเทคโนโลยีที่ดีมาก และช่วยให้งานวิจัยถูกนำไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ได้
· ในประเทศเหล่านี้ รัฐมีมาตรการส่งเสริมธุรกิจเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมอย่างมากมายและในขอบเขตที่กว้างขวาง เช่น การให้เงินทุนให้เปล่าในการวิจัยและพัฒนา การให้ทุนอุดหนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ การตั้งและสนับสนุนให้จัดตั้งกองทุน Venture Capital Fund การให้บริการด้านคำปรึกษาและความช่วยเหลือทางเทคโนโลยีและการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยี และความช่วยเหลือแก่ธุรกิจเอกชนในการเสาะหาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ในการเชื่อมโยงกับบริษัทข้ามชาติเพื่อการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยี และการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ตลอดจนการสนับสนุนการฝึกอบรมและการจัดตั้งสถาบันฝึกอบรมทางเทคโนโลยีต่างๆมากมาย
· ประการสุดท้ายคือ การพัฒนากำลังคน ประเทศทุกประเทศที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจล้วนได้เน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์มาเป็นเวลาหลายทศวรรษ การลงทุนด้านการศึกษาและการผลิตบุคลากรระดับสูงเป็นจำนวนมากเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยพัฒนาทรัพยากรบุคคลของประเทศให้มีคุณภาพและมีความพร้อมที่จะเรียนรู้เทคโนโลยี ทำให้สามารถยกระดับขีดความสามารถทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว และทำให้สามารถพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างก้าวกระโดด และในปัจจุบันประเทศเหล่านั้นกำลังเร่งรัดการพัฒนากำลังคนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในระดับสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีชีวภาพและนาโนเทคโนโลยี เพื่อรองรับการแข่งขันทางอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีในอนาคต
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมในฐานะหน่วยงานที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับภาคอุตสาหกรรมจึงควรจะเข้าไปสนับสนุนการดำเนินมาตรการของภาครัฐในการส่งเสริมให้เกิดธุรกิจเทคโนโลยีใหม่ในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจและตัวผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเป็นหลัก เพื่อทำให้ผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมเกิดความตระหนักถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอนาคตที่สำคัญ และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งเตรียมความพร้อมให้กับผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมให้สามารถมองหาโอกาส และพัฒนาธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีอุบัติใหม่เป็นฐานในการสร้างอุตสาหกรรมใหม่สำหรับประเทศไทย ทั้งนี้โดย สามารถดำเนินการดังนี้
มาตรการระยะใกล้ (ปัจจุบันถึง 3-5 ปี) ที่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมควรดำเนินการ
ใช้รูปแบบ (model) แนวทางการถ่ายทอดเทคโนโลยีอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (ดังรายละเอียดในรายงาน) ที่ครอบคลุม 2 ระยะของการพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีใหม่ ได้แก่ Founding Stage (ผู้ประกอบการมองเห็นถึงโอกาสทางธุรกิจและเริ่มพัฒนาแนวคิดทางธุรกิจ) และ Startup Stage (ผู้ประกอบการพัฒนาแผนธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรมจากแนวคิดทางธุรกิจ พัฒนาผลิตภัณฑ์หรือกระบวนการต้นแบบ ทดสอบตลาดเบื้องต้นและเสาะหาแหล่งเงินทุนเบื้องต้น) โดยใช้ระยะเวลาดำเนินการรวมทั้งสิ้น 12 เดือนต่อโปรแกรม ในการช่วยธุรกิจ (1) พัฒนาแนวคิดและโอกาสทางธุรกิจ (2) พัฒนาแผนธุรกิจ และ (3) พัฒนาผลิตภัณฑ์และเริ่มต้นธุรกิจ โดย
· จัดอบรมโปรแกรม IDEA (Innovation Development and Enterprise Advancement) ให้กับธุรกิจที่เข้าร่วมโครงการโดยอาศัยที่ปรึกษาซึ่งที่เป็นนักธุรกิจที่มีประสบการณ์เข้ามาเป็นที่ปรึกษาเพื่อชี้แนะแนวทางการสร้างธุรกิจใหม่ใน 4 ด้านหลัก ได้แก่
- การจัดการเทคโนโลยี ประกอบด้วย การจัดการกระบวนการและโครงการวิจัยและพัฒนา การจัดการทรัพย์สินทางปัญญา การถ่ายทอดเทคโนโลยีและการขอถือสิทธิ์ทางเทคโนโลยี และการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ
- การพัฒนากลยุทธ์ทางธุรกิจและการจัดการธุรกิจ
- การตลาดสำหรับธุรกิจเทคโนโลยีใหม่
- การจัดการทางการเงิน
· สนับสนุนการจัด forum และการศึกษาดูงานที่เกี่ยวข้อง
· พัฒนาและจัดทำแผนธุรกิจ
· ประสานงานกับแหล่งทุนเพื่อสนับสนุนการดำเนินการ
· ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆและจัดหาผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยี
มาตรการระยะกลาง (ปัจจุบันถึง 5-10 ปี) ที่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมควรดำเนินการ
1. จัดหาและสร้าง pool ของผู้เชี่ยวชาญทางธุรกิจและเทคโนโลยีมาเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทที่เข้าร่วมโปรแกรมการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจใหม่ พร้อมกับพัฒนาระบบที่ปรึกษาอุตสาหกรรมเพื่อสนับสนุนการขยายผลต่อไปในอนาคต
2. ประสานงานกับหน่วยงานส่งเสริมด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม การตลาดและธุรกิจ เพื่อทำให้เกิดการพัฒนาแนวคิดทางธุรกิจของผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีใหม่ รวมทั้งการสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจในอนาคต
3. ดำเนินมาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีใหม่ เพื่อทำการสำรวจและเสาะหาข้อมูลตลาดและโอกาสทางการตลาด เช่น การดูงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ การจัดแสดงความรู้และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี
4. สนับสนุนให้หน่วยงานหรือองค์กรที่มีบทบาทหลักในการสนับสนุนการพัฒนาวิสาหกิจหรือองค์กรที่เป็นตัวคูณในการสร้างธุรกิจเทคโนโลยีใหม่ เช่น สมาคมธุรกิจผลิตภัณฑ์และการค้า กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม เป็นต้น
5. จัดทำและพัฒนาระบบฐานข้อมูลอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นแหล่งข้อมูลพื้นฐานสนับสนุนการถ่ายทอดเทคโนโลยีในเชิงพาณิชย์
มาตรการระยะกลาง (ปัจจุบันถึง 5-10 ปี) ที่ภาครัฐควรดำเนินการ
1. ภาครัฐควรจัดสรรทรัพยากรและงบประมาณที่เหมาะสมอย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับหน่วยงานวิจัยในภาครัฐและสถาบันการศึกษา และส่งเสริมหรือรณรงค์ให้เกิดความต้องการของตลาดผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีอุบัติใหม่ในประเทศ
2. รณรงค์ให้ภาคเอกชนมีการตื่นตัวและสนใจลงทุนพัฒนาและ/หรือประยุกต์ใช้เทคโนโลยี ชีวภาพและนาโนเทคโนโลยีมากขึ้น เพื่อสนับสนุนให้มีบริษัทธุรกิจเทคโนโลยีสมัยใหม่เกิดมากขึ้น ทั้งที่เป็นธุรกิจขนาดเล็กที่เริ่มตั้ง (start-up) และธุรกิจที่ขยายจากธุรกิจที่มีอยู่แล้วทั้งธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่
3. ภาครัฐควรจัดทำมาตรการเพื่อพัฒนาความสามารถในการประกอบการในธุรกิจเทคโนโลยีใหม่ โดยเฉพาะการสร้างผู้ประกอบการใหม่ การจัดการนวัตกรรมและการถ่ายทอดเทคโนโลยี
4. ภาครัฐควรสนับสนุนให้เกิดรูปแบบธุรกิจที่มีแรงผลักดันมาจากภาคอุตสาหกรรมโดยการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับองค์กรที่จะเข้าธุรกิจเทคโนโลยีใหม่
5. ภาครัฐและภาคเอกชนควรร่วมกันพัฒนากลไกสนับสนุนด้านเงินทุน เช่น กองทุนส่งเสริมธุรกิจใหม่ กองทุนร่วมทุนของภาคเอกชน (Venture Capital หรือ Private Equity Fund) และการสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจและเทคโนโลยี (Strategic Alliance and Networking)
6. พัฒนาระบบรับรองมาตรฐานและการทดสอบผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีชีวภาพและนาโนเทคโนโลยีมาใช้ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อการส่งเสริมการลงทุนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ และการคุ้มครองผู้บริโภคสำหรับการจำหน่ายในประเทศ และการให้การรับรองสำหรับการส่งออก
7. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับกฎระเบียบและกฎหมายที่มีอยู่ เช่น การรับรองมาตรฐาน การโฆษณาและทำตลาดในประเทศ การนำเข้าอุปกรณ์และเครื่องมือสำหรับงานวิจัยกับการผลิตจำเป็นต้องได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัย เพื่อรองรับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีชีวภาพและนาโนเทคโนโลยีกับธุรกิจที่กำลังเพิ่มมากขึ้นในอนาคต
8. จัดให้เครื่องมือชั้นสูงให้ธุรกิจเช่า การให้ทุนประเดิม การให้คำปรึกษาทั้งทางด้านเทคนิคการจัดการ การฝึกอบรม งานบริการ เช่น การจดสิทธิบัตร และการเข้าถึงฐานข้อมูลผู้เชี่ยวชาญและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี รวมทั้งการจัดให้เกิดการรวมกลุ่มอุตสาหกรรม เป็นต้น
ข้อเสนอแนะทางยุทธศาสตร์
1. นโยบายเศรษฐกิจ นโยบายอุตสาหกรรม และนโยบายด้านการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะต้องสอดคล้องประสานกันในทิศทางเดียวกันที่มุ่งสร้างความเข้มแข็งของภาคอุตสาหกรรมในระยะยาวและมุ่งเน้นให้ธุรกิจอุตสาหกรรมก้าวกระโดดทางเทคโนโลยี
2. รัฐจะต้องทบทวนการส่งเสริมการลงทุนจากการอุดหนุนการลงทุนทางกายภาพ (Physical Capital) มาเป็นการอุดหนุนการลงทุนทางความรู้ (Knowledge Capital) และเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาสมรรถนะทางเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมของประเทศ
3. นโยบายพัฒนาเทคโนโลยีต้องมุ่งเน้นการพัฒนาสมรรถนะทางเทคโนโลยีในภาคการผลิตโดยตรงอย่างจริงจัง มากกว่าเพียงการเสริมสร้างงานวิจัยและพัฒนาในภาครัฐนอกภาคการผลิต และการสนับสนุนต้องมีขอบข่ายกว้างขวางกว่าการ “วิจัยและพัฒนา (R&D)” และจะต้องมุ่งเน้นการพัฒนาความสามารถของภาคอุตสาหกรรมในการดูดซับเทคโนโลยีจากต่างประเทศและการพัฒนาขีดความสามารถด้านอื่นๆในลักษณะองค์รวม (Holistic)
ข้อเสนอแนะในทางปฏิบัติตามแนวยุทธศาสตร์/นโยบายใหม่: มาตรการระยะยาว (ปัจจุบันถึง 10-15ปี)
1. ทบทวนมาตรการทางด้านภาษี สิทธิประโยชน์และทุนอุดหนุน เพื่อการพัฒนาความสามารถทางเทคโนโลยีให้มีขอบข่ายกว้างขวางขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรเน้นการพัฒนา “ความสามารถในการออกแบบและวิศวกรรม” ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิต และครอบคลุมความสามารถอื่นในการดำเนินธุรกิจ เช่น การจัดการการผลิต การบริหารธุรกิจ การตลาดและการเงิน และทบทวนความเหมาะสมในการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีโดยกว้างขวางเทียบกับการให้ทุนอุดหนุนโดยเฉพาะโครงการ (ในลักษณะ “Pick Winners”) และการลงทุนเพื่อทำวิจัยและพัฒนาในภาคธุรกิจ ควรใช้รูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ การเกิดบริษัทร่วมทุน และการร่วมวิจัยกับทางหน่วยงานของรัฐ
2. สนับสนุนการเสาะหาและวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับตลาดหลักต่างๆ และแนวโน้มของการพัฒนาเทคโนโลยีและกฎกติกาการค้าสำหรับการกำหนดยุทธศาสตร์ทางธุรกิจทั้งระยะสั้นและระยะยาว พร้อมทั้งพิจารณาการให้ทุนอุดหนุนแก่ธุรกิจที่ต้องไปเปิดตลาดสำหรับสินค้าใหม่ในต่างประเทศหรือในตลาดใหม่
3. เปลี่ยนวิธีการส่งเสริมการลงทุนจากการอุดหนุนในด้านการลงทุนเครื่องจักรอุปกรณ์ (Physical Capital) มาเป็นการอุดหนุนในด้านการเรียนรู้และการถ่ายทอดเทคโนโลยี (Human and Knowledge Capital)
4. ส่งเสริมการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจและเทคโนโลยีระหว่างบริษัทไทยกับบรรษัทข้ามชาติในไทย และระหว่างบริษัทไทยกับธุรกิจในต่างประเทศ (รวมทั้งหน่วยงานพัฒนาเทคโนโลยีในต่างประเทศ) ทั้งนี้โดยมิใช่เพื่อประโยชน์ด้านทุนและตลาดโดยลำพัง แต่เพื่อการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการถ่ายเทบุคลากร
5. การวางแผนพัฒนาอุตสาหกรรมและเทคโนโลยียุทธศาสตร์ไม่เพียงแต่ต้องมี Steering Committees ที่จำเป็น แต่ต้องมีการพัฒนากระบวนการวางแผน และปฏิรูปองค์กร(Institutional Reform and Innovation) ในกรอบแนวคิดหรือกระบวนทัศน์ใหม่ (New Paradigm) ด้วย และหน่วยงานภาครัฐจะต้องมีการปรับเปลี่ยนองค์กร และวิธีการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพ
6. การสร้างกำลังคนด้านเทคโนโลยีชีวภาพและนาโนเทคโนโลยี ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพที่สอดรับกับความต้องการของตลาด โดยอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องทั้งสถาบันการศึกษา หน่วยงานวิจัย ตลอดจนภาพเอกชน รวมทั้งมาตรการจูงใจในการจ้างบุคลากรจากต่างประเทศ
7. ในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ของประเทศ เช่น ด้านอุตสาหกรรมอาหาร ควรมีความพยายามผลักดันให้มีสถาบันหรือหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำหนดทิศทางงานวิจัยและพัฒนาของประเทศ โดยอาศัยกลไกการให้ทุนวิจัย ความร่วมมือวิจัยและอื่นๆ รวมทั้งการจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนาเทคโนโลยีเฉพาะอุตสาหกรรมและ Clusters ที่เกี่ยวข้องโดยเป็นกองทุนร่วมของรัฐและเอกชนที่ธุรกิจสามารถขอรับการสนับสนุนเพื่อการวิจัยและการพัฒนาสมรรถนะทางเทคโนโลยีต่างๆ
ธวัชชัย มูลรังษี
ที่มา : บทสรุปผู้บริหารสรุปผลการศึกษาเพื่อจัดทำรูปแบบ (Model) การถ่ายทอดเทคโนโลยีอุตสาหกรรมแห่งอนาคตเพื่อนำไปปฏิบัติเชิงพาณิชย์