วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ยางพาราไทยกับงานวิจัยมุ่งเป้า ๒๕๕๘

การสัมมนา “ยางพาราไทยกับงานวิจัยมุ่งเป้า ๒๕๕๘

          เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๘ เวลา ๐๘.๓๐ น.  ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ  สรุปสาระสำคัญของการสัมมนาได้ดังนี้

1. การสัมมนาครั้งนี้ จัดโดยเครือข่ายองค์กรบริหารงานวิจัยแห่งชาติ (คอบช.) โดยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)  มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเครือข่ายและบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน  พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้นักวิจัยและบุคลากรจากภาคอุตสาหกรรมได้ร่วมมือกันในการพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราของประเทศ ประกอบด้วยนักวิจัย ผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ ภาคอุตสาหกรรมยางพาราจากภาคเอกชน และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการสัมมนาในครั้งนี้

2. การสัมมนาครั้งนี้ แบ่งออกเป็น ๓ ช่วง สามารถสรุปได้ดังนี้
๒.๑ การปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “นโยบายภาครัฐกับทิศทางยางพาราไทย”  โดยนายอำนวย  ปะติเส  อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สรุปได้ดังนี้
ปัจจุบันภาครัฐมีนโยบายในการพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราผ่าน ๒ กลไก ได้แก่
กลไกการส่งเสริม  ผ่านการก่อตั้งการยางแห่งประเทศไทย (กยท.)  ซึ่งรวมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมยางของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๓ หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานสงเคราะห์กองทุนการทำสวนยาง (สกย.)  องค์การสวนยาง (อสย.) และสถาบันวิจัยยาง
กลไกการควบคุม  ผ่านพระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ. ๒๕๔๒  โดยมีการควบคุมทั้งในด้านคุณภาพและตลาด
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ กำหนดจุดมุ่งหมายให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากประเทศที่มีรายได้ปานกลาง  ซึ่งแนวทางในการพัฒนาอุตสาหกรรมยางให้มีศักยภาพสอดคล้องกับแผนดังกล่าว คือ การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาโดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์  โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานวิจัยมุ่งเป้า ซึ่งมีการต่อยอดงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์
ปัจจุบันมีการแปรรูปยางเป็นผลิตภัณฑ์ยางเพียงร้อยละ ๑๔  ควรมีการส่งเสริม
การแปรรูปเพื่อใช้ยางภายในประเทศ
การพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราต้องดำเนินการขับเคลื่อนทั้งระบบเชิงบูรณาการ ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าการสร้างเครือข่ายอุตสาหกรรมยางพาราสามารถตอบสนองการพัฒนาอุตสาหกรรมยางได้
เป็นอย่างดี
๒.๒ การเสวนาวิชาการเรื่อง “วิกฤต หรือ โอกาส : ราคายางพาราไทย” โดยนายพิเชฏฐ์
พร้อมมูล  (ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร)  นางลดาวัลย์  คำภา (รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ)  และนายวรเทพ  วงศาสุทธิกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็กซ์คอร์ปอร์เรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) สรุปได้ดังนี้
ประเด็นสถานการณ์ยางพาราปัจจุบัน  นายพิเชฏฐ์ฯ มีความเห็นว่าราคายาง
มีหลักการเดียวกันกับราคาหุ้น กล่าวคือ เกิดจากความเชื่อทางการตลาดและปัจจัยพื้นฐานขององค์กร ซึ่งซื้อขายในตลาดซื้อขายล่วงหน้า (future market) ดังนั้น การจะผลักดันราคายางให้สูงขึ้น อาจพิจารณาจากปัจจัยที่ส่งผล เช่น การลดพื้นที่การปลูก และลดผลผลิต  นายวรเทพฯ มีความเห็นว่าในขณะที่ราคายางตกต่ำจะเป็นวิกฤตของผู้ขาย แต่เป็นโอกาสของผู้ซื้อ ส่วนนางลดาวัลย์ฯ มีความเห็นว่าอุปสรรคของการกำหนดนโยบายใน   การรักษาเสถียรภาพราคายาง เกิดจากในปัจจุบันยังไม่สามารถคำนวณต้นทุนที่แท้จริงได้ และเห็นว่างานวิจัย    มุ่งเป้าจะเป็นแนวทางหนึ่งในการรักษาเสถียรภาพราคายางในอนาคต
ประเด็นนโยบายของรัฐในการรักษาเสถียรภาพราคายางในปัจจุบัน  นายวรเทพฯ มีความเห็นว่าเป็นการสร้างความต้องการของตลาด (demand) เทียม ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาระยะสั้น และอาจส่งผลต่อกลไกตลาด  แต่เห็นด้วยกับการส่งเสริมการปลูกยางพารา เนื่องจากในอนาคตความต้องการใช้จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น  ส่วนนางลดาวัลย์ฯ มีความเห็นว่าเกษตรกรชาวสวนยางควรมีอาชีพเสริม และต้องพิจารณาความคุ้มทุนในการผลิต  ด้านนายพิเชฏฐ์ฯ มีความเห็นว่ารัฐควรมีมาตรการเด็ดขาดในการลดพื้นที่ปลูกและเสนอพืชทางเลือกอื่นให้เกษตรกรอย่างเหมาะสม
ประเด็นงานวิจัยมุ่งเป้า  นางลดาวัลย์ฯ มีความเห็นว่าต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน
และร่วมมือกันดำเนินการอย่างบูรณาการ  มีการหาตลาดใหม่ ปรับปรุงคุณภาพให้สูงขึ้นตามมาตรฐานที่ตลาดโลกต้องการ  สำหรับนายวรเทพฯ มีความเห็นว่าควรส่งเสริมด้านการวิจัยและพัฒนาวัตถุดิบเพื่อตอบสนองการใช้งานในประเทศและการส่งออกวัตถุดิบไปขายยังต่างประเทศเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ต่อไป  ส่วนนายพิเชฏฐ์ฯ มีความเห็นว่า การใช้ยางในประเทศหรือการส่งออกที่มากขึ้น ไม่ส่งผลกระทบต่อราคายาง  การผลักดันราคายางให้สูงขึ้นอาจเกิดจากการส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ไม่เคยใช้ยางเป็นวัตถุดิบมาก่อน โดยต้องมีการประชาสัมพันธ์สรรพคุณของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวด้วย  สำหรับการนำยางพาราไปทำถนนนั้น ผลการวิจัยพบว่าสามารถทำได้ และเป็นสินค้าที่มีศักยภาพมากที่สุด  แต่เหตุที่ไม่สามารถกำหนดเป็นนโยบายได้ เนื่องจากต้องพยายามรักษาส่วนแบ่ง
ทางการตลาด และหากมีการใช้ถนนจากยางธรรมชาติอย่างแพร่หลาย อาจส่งผลให้ยางขาดตลาดได้ในอนาคต
๒.๓ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผลงานวิจัยด้านยางพาราเพื่อการพัฒนาต่อยอดและการนำไปใช้ประโยชน์  โดยมีการแบ่งเป็น ๓ ห้อง ได้แก่ อุตสาหกรรมยางพาราต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ สรุปได้ดังนี้
ห้องย่อย ๑ อุตสาหกรรมยางพาราต้นน้ำ มีการนำเสนอการวิจัย ๔ เรื่อง ได้แก่  
       ๑) การควบคุมราที่ปนเปื้อนบนยางแผ่นดิบทางชีววิธีโดยใช้ Streptomyces sp.CMU-NKS-3 และรา Muscodor cinnamomi CMU-Cib 461 โดย ศ.ดร. สายสมร  ลำยอง และคณะ (คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) ซึ่งผลการวิจัยนี้ แสดงถึงประสิทธิภาพของสารสกัดเมตาบอไลต์แห้ง และสารระเหยจากเชื้อราสังเคราะห์  โดยพบว่า ปริมาณการใช้เชื้อราสังเคราะห์ที่เพิ่มขึ้นบนยางแผ่นดิบ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรมควันแผ่นยาง และลดการเจริญเติบโตของเชื้อราที่ปนเปื้อนได้  
      ๒) การศึกษานโยบายและมาตรการรักษาเสถียรภาพราคายางพาราของประเทศไทยด้วยกองทุนรักษาเสถียรภาพราคาและแนวทางที่เหมาะสมเพื่อจัดตั้ง โดย ดร. มนต์ชัย  พินิจจิตรสมุทร และคณะ (คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์) ได้นำเสนอนโยบายยางพาราไทย ว่าควรเป็นไปในลักษณะบรรเทาสถานการณ์ และพัฒนาระบบยางพาราโดยใช้มาตรการตามช่วงเวลา ได้แก่ ระยะเร่งด่วน ระยะสั้นและระยะยาว รวมทั้งจัดตั้งกองทุนรักษาเสถียรภาพซึ่งเป็นมาตรการที่จำเป็นในการบรรเทาผลกระทบที่มีต่อภาคเกษตรรายย่อย และสร้างการปรับพื้นฐานการดำเนินงานของเกษตรกรในระยะยาว  
      ๓) การพัฒนายุทธศาสตร์สำหรับการปลูกยางพาราของประเทศไทยด้วยประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจ โดย ผศ.ดร. ธันวดี  สุขสาโรจน์ และคณะ (สถาบันพัฒนาสุขภาพอาเซียน มหาวิทยาลัยมหิดล) ซึ่งนำเสนอร่างยุทธศาสตร์การพัฒนาอย่างยั่งยืนในการปลูกยางพาราของประเทศไทย     จากผลการศึกษา ประกอบด้วย ๖ กลยุทธ์ คือ การพัฒนาเกษตรกร การเพิ่มประสิทธิภาพ การผลิตเพื่อความ  เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การรับมือภาวะภัยพิบัติ การเพิ่มศักยภาพเชิงรุกในการใช้ยางพาราในประเทศ      การเสริมศักยภาพการแข่งขันของยางธรรมชาติ และการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันระดับภูมิภาคและระดับโลก  
    ๔) การศึกษาสมดุลคาร์บอนและน้ำเพื่อใช้เป็นข้อมูลทำคาร์บอนฟุตปริ้นต์
และวอเตอร์ฟุตปริ้นต์ของสวนยางพารา : ระยะที่ ๒ โดย รศ.ดร. พูนพิภพ  เกษมทรัพย์ และคณะ (คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์) ซึ่งผลการวิจัยนี้ พบว่า ปริมาณการใช้ปุ๋ยต่อหน่วยเป็นสาเหตุหลักที่ส่งผลต่อค่าคาร์บอนฟุตปริ้นท์ ทั้งนี้ เกษตรกรส่วนใหญ่ใช้ปุ๋ยเกินความจำเป็นตามข้อแนะนำของสถาบันวิจัยยาง ดังนั้น เกษตรกรจึงควรใช้ปริมาณปุ๋ยที่เหมาะสม ซึ่งสามารถลดค่าคาร์บอนฟุตปริ้นท์ได้อีกด้วย
ห้องย่อย ๒ อุตสาหกรรมยางพารากลางน้ำ มีการนำเสนอการวิจัย ๔ เรื่อง ได้แก่
      ๑) การทดสอบความเป็นพิษและฤทธิ์ต่อกระบวนการสร้างเม็ดสีเมลานินของ
สารสกัดเมล็ดยางพารา โดย ดร. ภักวดี  ไชยกุล และคณะ (สำนักวิชาวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง มหาวิทยาลัย
แม่ฟ้าหลวง)  ซึ่งผลการวิจัยนี้ แสดงถึงการพัฒนาศักยภาพเมล็ดยางพาราเพื่อใช้ประโยชน์ ในอุตสาหกรรม      เครื่องสำอาง โดยนำสารสกัดไปใช้ในการลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน
      ๒) การผลิตยางธรรมชาติความหนืดคงที่โดยกระบวนการป้องกันการเกิดเจล
โดย รศ.ดร. ศิริลักษณ์  พุ่มประดับ และคณะ (คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)  ซึ่งเป็นการกำจัดหมู่คาร์บอนิลโดยการแช่ยางจับตัวในสารละลายเบส ซึ่งเป็นวิธีที่ต้นทุนต่ำรวมทั้งง่ายต่อการปฏิบัติการ และล้างส่วนที่ไม่ใช่ยางออกด้วยสารลดแรงตึงผิว โดยงานวิจัยดังกล่าวสามารถควบคุมความหนืดในยางธรรมชาติเทียบเท่ากับกระบวนการเติมสารควบคุมความหนืดชนิดไฮดรอกซิลเอมีนนิวทรัลซัลเฟต  ทำให้ลดปัญหาการเสื่อมสภาพของยางจากความหนืดที่เปลี่ยนไปได้
      ๓) การพัฒนาระบบออกแบบ รูปแบบการเลื่อย ระบบควบคุมการอัดน้ำยา ระบบการควบคุมการอบ และเตาอบไม้ต้นแบบ สำหรับการผลิตไม้ยางพาราแปรรูปในโรงงานอุตสาหกรรม
โดย ผศ.ดร. นิรันดร  มาแทน และคณะ (ศูนย์วิจัยความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมไม้ สำนักวิชาวิศวกรรมศาสตร์และทรัพยากร มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์)  ซึ่งเป็นงานวิจัยที่คิดค้นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ SawWooD ซึ่งพัฒนาขึ้นเพื่อการออกแบบรูปแบบการเลื่อยไม้ซุงที่เหมาะสมในคอมพิวเตอร์ก่อนทำการเลื่อยจริง ImPregWooD ซึ่งพัฒนาขึ้นเพื่อการควบคุมการอัดน้ำยาโบรอน และ DryWooD ซึ่งพัฒนาขึ้นเพื่อให้โรงงานสามารถควบคุมสภาวะการอบในเตาอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
      ๔) การประเมินศักยภาพการเพิ่มอัตราการผลิตก๊าซชีวภาพด้วยการหมักร่วม และอัตราการทดแทนเชื้อเพลิงไม้ฟืนของสหกรณ์ผลิตยางแผ่นรมควัน  โดย รศ.ดร. สุเมธ  ไชยประพัทธ์ และคณะ (ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์) ซึ่งเป็นงานวิจัยที่นำเสนอแนวคิดในการจัดการน้ำเสียจากการผลิตยางแผ่นรมควันแบบครบวงจร โดยสามารถนำก๊าซชีวภาพไปใช้รมยางแผ่นกับไม้ฟืน อีกทั้งสามารถนำน้ำทิ้งที่ออกจากระบบผลิตก๊าซชีวภาพดังกล่าว ซึ่งมีธาตุอาหารที่จำเป็นต่อพืช ไปใช้ประโยชน์ทางการเกษตรต่อไปได้
ห้องย่อย ๓ อุตสาหกรรมยางพาราปลายน้ำ มีการนำเสนอการวิจัย ๔ เรื่อง ได้แก่  
        ๑) การศึกษาความเป็นไปได้ของการใช้ยางพาราในอุตสาหกรรมผลิตวัสดุอุปกรณ์
ทางการแพทย์และสุขภาพ โดย นพ. ฆนัท  ครุฑกุล และคณะ (คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล) ซึ่งผลการวิจัยแสดงถึงข้อได้เปรียบด้านต้นทุน (Cost Advantage) ของประเทศไทยเมื่อเทียบกับมาเลเซีย และสิงคโปร์ แต่ยังขาดความได้เปรียบด้านราคา (Price Advantage) ทำให้ไม่สามารถขายสินค้าราคาสูงได้ ดังนั้น จึงควรสนับสนุนกิจกรรมเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์จากยางพาราภายในประเทศ เพื่อทดแทนการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศที่มีมูลค่าสูง ๒) การพัฒนาวัสดุเคลือบผิวคลองผสมน้ำยางพาราสำหรับใช้บำรุงรักษาคลองชลประทาน โดย ผศ.ดร. พีรวัฒน์  ปลาเงิน และคณะ (คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม) ผลการวิจัยและทดสอบคุณสมบัติทางด้านวิศวกรรมของวัสดุเคลือบผิวคลอง ณ โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาเขื่อนป่าสัก ชลสิทธิ์ จังหวัดลพบุรี มีคุณสมบัติป้องกันการรั่วซึมและความต้านทานการกัดกร่อน ซึ่งสามารถใช้งานได้จริง   จึงสามารถนำไปใช้เคลือบผิวคลองและซ่อมรอยแตกร้าวได้  
       ๓) การวิจัยและพัฒนายางล้อรถยนต์ประหยัดพลังงาน โดย ผศ.ดร. กฤษฎา สุชีวะ  และคณะ (คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล) ซึ่งผลการวิจัยพบว่า โครงสร้างยางล้อ แบบดอกยาง เนื้อยางการกระจายตัวของตัวเติมเสริมแรง การติดระหว่างยางกับตัวเติมเสริมแรง และเส้นลวดเหล็กที่ใช้เสริมแรงล้วนมีผลต่อการสูญเสียพลังงานของยางล้อขณะวิ่ง โดยแผนงานวิจัยสามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้พัฒนายางล้อรถประหยัดพลังงานร่วมกับบริษัทผู้ผลิตยางล้อที่เข้าร่วมโครงการได้ ซึ่งจะนำไปสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ต่อไป  
๔) การวิเคราะห์นโยบายที่เหมาะสมเพื่อการจัดการยางล้อยานยนต์ใช้แล้วของประเทศไทยระยะที่ ๒ โดย รศ.ดร. ประเสริฐ  ภวสันต์ และคณะ (คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ได้นำเสนอแนวคิดรูปแบบการจัดการยางล้อรถยนต์ที่ใช้แล้ว ได้แก่ การสนับสนุนการนำผลิตภัณฑ์รีไซเคิลไปใช้ การให้เงินทุนสนับสนุนในบางกระบวนการ และ การลดหย่อนภาษีสำหรับการลงทุนของกลุ่มอุตสาหกรรมรีไซเคิล โดยภาครัฐสามารถเลือกรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ซึ่งจะนำไปสู่การจัดการด้านสิ่งแวดล้อม   ที่เหมาะสม และเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐศาสตร์ได้อีกทางหนึ่ง
      3. จากการเข้าร่วมการสัมมนาในครั้งนี้  เจ้าหน้าที่ กพข. ๒ กสอ. ได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับงานวิจัยมุ่งเป้าด้านยางพารามากขึ้น  ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยจะได้นำความรู้และประสบการณ์ไปประยุกต์ใช้ในการวางแผนและพัฒนาการทำงานแบบบูรณาการระหว่างหน่วยงานต่อไป



ส่วนพัฒนาอุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยาง
กองพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา 2  กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม

วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

การประชุมการพัฒนาต่อยอดและนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ (ครั้งที่ 1) 

ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2558 เวลา 08.30-15.30น.  ณ ห้องบานบุรี ชั้น 14 โรงแรมบางกอกชฎา ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ  มีข้อสรุปตามหัวข้อการประชุมแบ่งเป็นสองส่วนคือ ส่วนที่หนึ่งเป็นการอภิปรายและเสวนา  ส่วนที่สองเป็นการนำเสนอการใช้ประโยชน์โครงการ
การอภิปรายเรื่อง  แก้ปัญหาราคายางพารา ด้วยการวิจัยได้หรือไม่  มีบทสรุปในเรื่องนี้เป็นการนำผลการวิจัยไปใช้ในการสร้าง/พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ใช้ยางพารา ทำให้ตัวผลิตภัณฑ์ยางพารามีมูลค่าสูงขึ้นแต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาราคายางพาราได้  เนื่องจากราคายางพาราเป็นเรื่องของอุปสงค์และอุปทาน และยังมีปัจจัยอื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
การนำเสนอการใช้ประโยชน์โครงการเรื่อง การพัฒนาเทคโนโลยีการอบแห้งด้วยคลื่นไมโครเวฟร่วมกับลมร้อนเพื่อเป็นต้นแบบในการผลิตยางแท่ง STR 20 ระดับอุตสาหกรรม ซึ่งโครงการชุดนี้อยู่ในระดับห้องปฏิบัติการ หากมีผู้ประกอบการสนใจใช้งานต้องนำไปขยายขนาด
การเสวนาเรื่อง  การใช้ประโยชน์แผนงานการวิจัยเชิงก้าวหน้าชุดอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์จากยางธรรมชาติ ข้อสรุปในเรื่องนี้เป็นความพยายามที่จะให้ผู้ประกอบการผลิตอวัยวะส่วนสำคัญและหุ่นคนขึ้น โดยใช้ยางพาราทดแทนการนำอวัยวะส่วนที่สำคัญและหุ่นคนเข้าจากต่างประเทศซึ่งมีราคาแพงมาก และเพื่อนำไปใช้ทดลองและให้นักศึกษาแพทย์ได้ทำการศึกษาฝึกงานแทนอาจารย์ใหญ่ซึ่งนับวันจะขาดแคลนและมีความคุ้มครองร่างของผู้เสียชีวิตมากขึ้น
การนำเสนอการใช้ประโยชน์โครงการเรื่อง  การพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากเมล็ดยางพารา เป็นการสกัดเอาสารสำคัญ  ของเม็ดยางพาราออกมาและพบว่ามีสารบางชนิดมีคุณสมบัติรักษาความชุ่มชื้นดีสามารถนำไปพัฒนาให้เป็นผลิตภัณฑ์ครีมหรือเจลบำรุงผิวและสบู่ ได้
การนำเสนอการใช้ประโยชน์โครงการเรื่อง  การยืดอายุการเก็บรักษาและการรักษาคุณภาพเห็ดฟางด้วยบรรจุภัณฑ์พลาสติกย่อยสลายได้จากยางพาราได้อย่างปลอดภัยสำหรับผู้บริโภคเพื่อการส่งออกระยะที่ 2 เป็นการพัฒนาถุงบรรจุภัณฑ์พลาสติก PLA (Polylatic acid) และใช้ยางพาราเป็นส่วนผสม   ในอัตราส่วนร้อยละ 18  ทำให้ยืดอายุการเก็บรักษาคุณภาพเห็ดฟางได้นานขึ้นจาก 3 วัน เป็นอายุนานขึ้นถึง    7 วัน และการใช้ถุงบรรจุภัณฑ์แบบย่อยสลายได้จะได้รับการ   งดเว้นภาษีบรรจุภัณฑ์ในการส่งเห็ดฟางไปประเทศแถบยุโรปเนื่องจากเป็นวัสดุย่อยสลายได้

วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2558


โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการยาง
กระทรวงอุตสาหกรรม
-------------------------------------------------
อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยในปี 2556 ไทยผลิตยางพาราได้ 4.17 ล้านตัน ปริมาณการผลิตยางพาราในตลาดโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราการเติบโตของปริมาณการผลิตยางพาราเพิ่มขึ้นมากกว่าอัตราการเติบโตของปริมาณความต้องการใช้ ซึ่งปริมาณการผลิตและปริมาณการใช้ยางพาราที่ไม่สมดุลกันนี้ ส่งผลให้ราคายางพาราในตลาดโลกรวมถึงราคายางในประเทศลดลง และมีความผันผวนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี 2554 จนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นปี 2555 รัฐบาลได้ดำเนินโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง โดยรับซื้อยางจากเกษตรกร แต่ปริมาณยางที่รับซื้อยังมีปริมาณน้อยเมื่อเทียบกับอุปทานทั้งหมดในประเทศ จึงไม่สามารถพยุงราคาให้สูงขึ้นได้ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องพิจารณาหาแนวทางใหม่ เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนจากปัญหาราคายางตกต่ำและผันผวนให้เกษตรกรและผู้ประกอบการอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางในประเทศ ซึ่งการเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราในประเทศด้วยการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ยางขั้นปลาย เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้เกิดขึ้นในประเทศ เป็นแนวทางหนึ่งที่จะรองรับปริมาณผลผลิตยางที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง   ทำให้เกิดความสมดุลระหว่างอุปทานและอุปสงค์ยางพาราในตลาด ซึ่งจะส่งผลให้ราคายางลดความผันผวนและมีเสถียรภาพมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลก็ได้มีการสนับสนุนการเพิ่มมูลค่าให้กับยางพาราตามแนวทางการพัฒนายางทั้งระบบ อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นเพื่อแก้ไขปัญหาราคายางตกต่ำอย่างเร่งด่วน วิธีการหนึ่ง คือ การดึงยางพาราส่วนเกินออกจากระบบ ในช่วงที่ผลผลิตยางพาราออกสู่ตลาดมากที่สุด คือ ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2557–เมษายน 2558 ดังนั้น การสนับสนุนสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนจะทำให้ผู้ประกอบการสามารถซื้อยางพาราส่วนเกินออกจากตลาด เพื่อเพิ่มการแปรรูปยางเก็บในสต็อค หรือเพื่อการส่งออก จะเป็นการลดปริมาณยางในตลาด ซึ่งจะส่งผลให้ราคายางในตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นและมีเสถียรภาพมากขึ้น และทำให้เกษตรกรชาวสวนยางมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
วัตถุประสงค์ของโครงการ
สนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยผ่อนปรน วงเงิน  10,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการแปรรูปน้ำยางข้น ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการซื้อยางส่วนเกินออกจากระบบ ในช่วงต้นฤดูที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมาก (เดือนพฤศจิกายน 2557 – เมษายน 2558)

เป้าหมายขอบเขตโครงการ
ผู้ประกอบการแปรรูปน้ำยางข้น
วิธีดำเนินการ
     - ผู้ประกอบการแปรรูปน้ำยางข้นที่ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการฯ ยื่นขอรับการสนับสนุนสินเชื่อที่กระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมจะรวบรวมคำขอ ส่งให้ธนาคารที่ให้การสนับสนุนสินเชื่อต่อไป     - ธนาคารที่ให้การสนับสนุนสินเชื่อ พิจารณาคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมโครงการและพิจารณาการให้สินเชื่อตามระเบียบของธนาคาร

 รายละเอียดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการให้สินเชื่อ มีดังนี้
1  คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ
(1) ต้องเป็นผู้ประกอบการแปรรูปน้ำยางข้น
(2) ต้องเป็นผู้ประกอบการซึ่งจดทะเบียนในประเทศไทยและมีผู้ถือหุ้นที่มีสัญชาติไทยมากกว่า 50% ของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว
2  ประเภทสินเชื่อ
ประเภทเงินกู้ระยะสั้นไม่เกิน 1 ปี อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน
อัตราดอกเบี้ย
อัตราดอกเบี้ย ผู้กู้จะชำระดอกเบี้ยเท่ากับอัตรา 2 % โดยรัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยให้ธนาคาร 3 % ตลอดอายุโครงการ
ระยะเวลาการชำระคืนเงินกู้
ระยะเวลาการชำระคืนเงินกู้ ไม่เกิน 1 ปี นับจากวันทำสัญญา โดยผู้กู้จะต้องชำระคืนทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย
หลักประกันสินเชื่อ
(1)สต๊อคสินค้า/ที่ดิน/อาคาร/สำนักงาน/เครื่องจักร โดยการประเมินสินทรัพย์ การกำหนดอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (Loan to Value: LTV) เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด
(2)ผู้กู้สามารถใช้หนังสือค้ำประกันสินเชื่อจากบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เป็นหลักประกันเสริมได้
6  เงื่อนไขอื่นๆ
(1)ให้ผู้กู้ต้องทำประกันภัยสต๊อคสินค้ายางพารา หรือตามที่ธนาคารที่ให้การสนับสนุนสินเชื่อกำหนด
(2)การพิจารณาสินเชื่อให้เป็นไปตามระเบียบของธนาคารที่ให้การสนับสนุนสินเชื่อ 
ระยะเวลาการดำเนินการของโครงการ                               ระยะเวลาในการดำเนินโครงการ  6 เดือน นับจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ หรือภายในกรอบวงเงินตามที่กำหนด คือ 10,000 ล้านบาท และจะดำเนินการจนกว่าจะครบกำหนดระยะเวลาหากกรอบการใช้เงินไม่เกินวงเงิน

สาระสำคัญ
1 เป็นสินเชื่อระยะสั้นไม่เกิน 1 ปี วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2557  เพื่อสนับสนุนสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการน้ำยางข้นสำหรับรับซื้อยางส่วนเกินในฤดูที่ยางออกสู่ตลาดมากระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2557-เมษายน 2558  โดยธนาคารพาณิชย์ที่ร่วมโครงการเป็นผู้ปล่อยสินเชื่อ
2 ผู้กู้จะชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 2 โดยรัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ ๓ ผ่านธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2557 ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ให้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ใช้สภาพคล่องของธนาคารฯ จ่ายชดเชยชดเชยดอกเบี้ยให้แก่ผู้กู้เป็นรายเดือนไปก่อน และขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2559 เพื่อชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 3 ตามรายจ่ายจริงภายในกรอบวงเงิน 300 ล้านบาท เมื่อสิ้นสุดโครงการ
3 หลักการจ่ายเงินชดเชยดอกเบี้ยกำหนดให้มีการตรวจสต็อกน้ำยางข้นของผู้ประกอบการ โดยสต็อกน้ำยางข้นต้องสอดคล้องกับวงเงินที่เบิกจ่ายจากธนาคาร (outstanding balance)
4 ธนาคารพาณิชย์ที่สนับสนุนสินเชื่อภายใต้โครงการ ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ (ไทย) จำกัด (มหาชน) ธนาคารสินเอเซีย จำกัด (มหาชน) ธนาคารซิตี้แบงก์ ธนาคารเอชเอสบีซี ธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารออมสิน ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย และธนาคารอื่น ๆ ที่กระทรวงอุตสาหกรรมเห็นสมควร

5 ด้วยมติคณะรัฐมนตรีที่ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณในส่วนที่เกี่ยวกับงบประมาณและการบริหารงบประมาณในการดำเนินการ ทำให้กระทรวงอุตสาหกรรมต้องทำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อเพิ่มเติม/ทบทวนมติ เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนโครงการได้ 2 ครั้ง  และคณะรัฐมนตรีมีมติตามลำดับคือ
- มติเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2557
- มติเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2557
6 วันที่  20 มกราคม 2558 คณะกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้อนุมัติให้ธนาคาร  (1) เข้าร่วมโครงการฯ  (2) ทดรองจ่ายดอกเบี้ยชดเชยแก่ผู้ประกอบการ  และ (3) ตั้งคำของบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2559 เพื่อชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 3 ตามรายจ่ายจริงภายในกรอบวงเงิน 300 ล้านบาท เมื่อสิ้นสุดโครงการ  

ที่มา : ส่วนพัฒนาอุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยาง
        กองพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา 2 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม        โทรศัพท์ 0 2367 8185

วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

จับตาการประชุม คณะกรรมการกำกับและติดตามการดำเนินงาน โครงการขอสินเชื่อผลิตภัณฑ์ยาง

      โครงการขอสินเชื่อยางเป็นเครื่องมือชิ้นหนึ่งในมาตการที่ 2  เพื่อผลักดันและเร่งรัดโครงการปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้สถาบันเกษตรกรรับซื้อยางจากเกษตรกรในราคาที่สูงขึ้นและการปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการ นำเงินเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อใช้ในการแปรรูปยาง อีกทั้ง สนับสนุนให้มีการปล่อยเงินกู้ให้กับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน เพื่อเข้าถึงเกษตรกรมากขึ้น (แนวทางนี้เพื่อชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ 3ให้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ รัฐบาลได้อนุมัติโครงการแล้ว 2 โครงการ คือโครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ยางเพื่อขยายกำลังการผลิต/ปรับเปลี่ยนเครื่องจักรการผลิต วงเงินกู้ 15,000 ล้านบาท และโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการยางวงเงินกู้ 10,000 ล้านบาท  หมายความว่ารัฐบาลยอมจ่ายเงิน 750 ล้านบาท แทนผู้ประกอบการที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยกู้เงินให้ธนาคารเจ้าหนี้ ในสองโครงการนี้) ในการประชุมครั้ังนี้เป็นครั้งที่ 2 โดยมีใจความการประชุมเพื่อรับฟังการชี้แจงรายละเอียดและแนวปฏิบัติในวันพุธที่ 28 มกราคม 2558 เวลา 08.30 – 12.00 น. ณ ห้องประชุมชุณหะวัน ชั้น 3 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งสรุปประเด็นการประชุม ดังนี้ 
       ระเบียบวาระที่ 1 เรื่องที่ประธานแจ้งที่ประชุมเพื่อทราบ เป็นมติการประชุมครั้งที่แล้วพิจารณาเห็นชอบหลักเกณฑ์เพื่อใช้ในการพิจารณาการขอสินเชื่อในการตรวจสอบรับรองความเหมาะสม และแต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบติดตามและเร่งรัดเพื่อนำผลมาวิเคราะห์ความเหมาะสมในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเครื่องจักรและให้ สศอ. ติดตามผลจากธนาคารออมสินและประสานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และให้คณะทำงานฯ รายงานความก้าวหน้าทุกเดือน
        ระเบียบวาระที่ 2 รับรองรายงานการประชุม

        ระเบียบวาระที่ 3 ไม่มีเรื่องสืบเนื่องจากการประชุมครั้งก่อน

        ระเบียบวาระที่ 4 เรื่องพิจารณา ในส่วนแรกเป็นเรื่องที่ประชุมพิจารณาแนวทางปฏิบัติ และหลักเกณฑ์อนุมัติการปล่อยสินเชื่อ โดยธนาคารออมสินพิจารณาคุณสมบัติผู้ประกอบการเบื้องต้นและแบ่งกลุ่มผู้ประกอบการได้ 3 กลุ่ม

   กลุ่มที่ 1 กลุ่มที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ของธนาคารพร้อมจะดำเนินการต่อไปได้

   กลุ่มที่ 2 กลุ่มที่มีหลักประกันสินเชื่อและเอกสารประกอบโครงการไม่ชัดเจน

   กลุ่มที่ 3 กลุ่มที่ไม่มีหลักทรัพย์ประกันสินทรัพย์

ทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีปัญหาที่ไม่ผ่านเกณฑ์พิจารณาในกลุ่มที่ 2 และกลุ่มที่ 3 ด้วยสาเหตุดังนี้

   - หลักทรัพย์ที่ใช้ในการค้ำประกันสินเชื่อเป็นหลักทรัพย์ที่ได้จดจำนองเพื่อค้ำประกันสินเชื่ออื่นกับธนาคารพาณิชย์อยู่ก่อนแล้ว

   - ผู้ประกอบการไม่มีแผนธุรกิจแผนการตลาดและแผนการบริหารงานที่ชัดเจน

   - ผู้ประกอบการไม่ได้ประมาณการเรื่องเงินทุนหมุนเวียน และหลักทรัพย์ที่จะค้ำประกันเพิ่มเติม

   - สัดส่วนหนี้สินต่อทุน (DE) ไม่เป็นไปตามเกณฑ์ของธนาคารออมสิน

   - ผู้ประกอบการหลายรายยื่นขอรับการสนับสนุนสินเชื่อโดยรวมทั้งการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร การซื้อที่ดิน การสร้างอาคาร รวมทั้งเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน ซึ่งไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการที่สนับสนุนสินเชื่อเพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเท่านั้น จะทำให้วงเงินที่ได้รับการสนับสนุนปรับลดลงน้อยกว่าที่ยื่นไว้

ความไม่มั่นใจของธนาคารออมสินในการปล่อยสินเชื่อโดยพิจารณาถึงหลักทรัพย์ค้ำประกันสินเชื่อที่ยังถือหลักเกณฑ์ปกติเช่นเดิมยังไม่ผ่อนปรนให้สำหรับผู้ประกอบการที่จะเข้าร่วมโครงการนี้เนื่องจากยังไม่ชัดเจนในเรื่อง “ขยายกำลังการผลิต” ครอบคลุมเฉพาะเครื่องจักรเท่านั้นหรือไม่หรือรวมถึงการสร้างใหม่/ขยายโรงงาน ซื้อเครื่องจักรใหม่ ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งมติ ครม. ไม่มีรายละเอียดระบุไว้ชัดเจน ณ ปัจจุบันผู้ประกอบการยื่นกู้เข้ามาแล้วทั้งหมด 22 ราย ส่งให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมพิจารณาความเหมาะสมของกำลังการผลิตกับเครื่องจักรที่เพิ่มขึ้นและเทคโนโลยีรวมถึงปัญหาด้านมลภาวะแล้ว 3 ราย และผ่านหลักเกณฑ์เบื้องต้นแล้ว 2 ราย อีก 1 รายอยู่ระหว่างการพิจารณา วงเงิน 570 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจัดอยู่ในกลุ่มที่ 2 และ 3 อีก 19 ราย เนื่องจากธนาคารออมสินพบปัญหาที่ไม่ผ่านการพิจารณาข้างต้น

     ผู้แทนสมาคมถุงมือยาง ได้ให้ข้อมูลว่าเรื่องวัตถุประสงค์ของโครงการได้เป็นมติไปก่อนหน้านี้แล้วโดยตัวโครงการมีวัตถุประสงค์เพื่อ “ขยายปริมาณการใช้ยาง” หากสงสัยให้ทำเรื่องสอบถามไปที่ กนย. หรือ คสช. และยังเสนอให้ธนาคารออมสินทำความเข้าใจและคำนึงถึงวัตถุประสงค์ของโครงการฯ เพื่อผ่อนคลายหลักเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อด้วยว่า หลักทรัพย์ที่ใช้ค้ำประกันสินเชื่อจะใช้หลักทรัพย์ที่เกิดใหม่จากการเข้าร่วมโครงการเป็นตัวค้ำประกัน และให้ธนาคารออมสินคลายความกังวลใจเนื่องจากสถานการณ์การตลาดถุงมือไทยซึ่งปัจจุบันผลิตไม่พอจำหน่าย โดยไทยต้องซื้อถุงมือยางจากมาเลเซียที่ซื้อยางของไทยไปผลิตถุงมือกลับมาเพื่อขายส่งออก และในเวียดนาม มีโรงงานผลิตถุงมือยาง 14 เครื่อง และ 7 เครื่องที่ผลิตได้นั้น เข้ามาทำสัญญาให้ไทยเป็นตลาดส่งออกให้

     ผู้แทนสมาคมผู้ผลิตถุงมือยางไทย) ได้ให้ข้อมูลสถานการณ์ถุงมือยางว่าทั่วโลกผลิตได้ 1 แสนล้านชิ้น ไทยผลิต 2.7 หมื่นล้านชิ้น มาเลเซีย ผลิต 7 หมื่นล้านชิ้น ตลาดโลกโตขึ้นเฉลี่ย 10 % ต่อปี แต่อัตราการเติบโตไปอยู่ที่ มาเลเซีย จึงต้องทำโครงการเพื่อขยายกำลังการผลิตและการใช้ยางของประเทศให้ มากขึ้น และได้ขอรายชื่อเจ้าหน้าที่ของธนาคารออมสินที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้รับผิดชอบโครงการนี้ เพื่อให้สมาชิกสมาคมได้ติดต่อประสานงานโดยตรงด้วย

     มติที่ประชุมให้ธนาคารออมสินประสานงานกับสำนักงบประมาณและกระทรวงการคลังพิจารณาสรุปประเด็นปัญหาที่ยังปล่อยสินเชื่อไม่ได้ให้ที่ประชุมพิจารณาแก้ไขต่อไป

          เรื่องพิจารณาในส่วนที่สอง การดำเนินการจัดทำ Public Service Account (PSA) เพื่อขอรับการชดเชยความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตให้แก่ธนาคารออมสินเมื่อธนาคารได้พิจารณาสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการตามกฎ ระเบียบ นโยบาย คำสั่ง ข้อบังคับของธนาคาร อย่างรอบคอบแล้ว ประธานที่ประชุมได้มีบัญชาให้ สศอ. จัดประชุมวงเล็กภายในอาทิตย์หน้า โดยเชิญ นายอำนวย ปะติเส (รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) เป็นประธาน และให้เชิญผู้เกี่ยวข้องได้แก่ ธนาคารออมสิน กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สมาคมผู้ผลิตถุงมือยางและผู้เกี่ยวข้อง กรมโรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯ เพื่อหาข้อสรุป และนำเสนอ ครม. โดยเร็ว และนัดประชุมคณะกรรมการกำกับและติดตามการดำเนินงานโครงการขอสินเชื่อผลิตภัณฑ์ยางครั้งต่อไปในกลางเดือน กุมภาพันธ์ 2558 หลังจากได้ข้อสรุปการประชุมวงเล็กแล้ว

          ข้อเสนอแนะ จากเรื่องพิจารณาแนวปฏิบัติในส่วนแรก ประเด็นปัญหาที่ธนาคารออมสินพบในเรื่องไม่มีแผนธุรกิจแผนการตลาดและแผนการบริหารงานที่ชัดเจนที่ผู้ประกอบการ 19 ราย ต้องจัดทำเป็นหลักฐานประกอบการพิจารณาขอสินเชื่อนั้น เนื่องจากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมมีเครื่องมือและงบประมาณอยู่แล้ว ประธานที่ประชุมได้บัญชาให้ผู้แทนกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นำเรียน อสอ. ว่าควรพิจารณาระดมเจ้าหน้าที่ ผู้เชี่ยวชาญ และพิจารณางบประมาณเพื่อช่วยผู้ประกอบการที่แจ้งประสงค์ขอกู้ในโครงการนี้ด้วย
สิทธิชนคน กสอ.

วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2558


แผนที่อุตสาหกรรมยางพาราไทย


ตอนที่ 3 (ตอนจบ) : นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่ใช้ยางพารา...ใครได้ใครเสีย


            แนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราของไทยทั้งระบบที่รัฐบาลวางแผนดำเนินการไว้ มี 4 แนวทางคือ   
1.เร่งรัดการใช้ยางภายในประเทศให้มากขึ้น โดยนำยางมาใช้สร้างถนน ทำอิฐบล็อก ทำพื้น ฝาย หรือผลิตภัณฑ์แปรรูป เป็นต้น พร้อมทั้งเร่งการโค่นต้นยางเก่าเพื่อลดอุปทานภายในประเทศ ทำให้ลดผลผลิตยาวในอนาคต
2.ผลักดันและเร่งรัดโครงการปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ให้สถาบันเกษตรกรรับซื้อยางจากเกษตรกรในราคาที่สูงขึ้น และการปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการ นำเงินเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อใช้ในการแปรรูปยาง อีกทั้ง สนับสนุนให้มีการปล่อยเงินกู้ให้กับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน เพื่อเข้าถึงเกษตรกรมากขึ้น    (แนวทางนี้เพื่อชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ 3% ให้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ รัฐบาลได้อนุมัติโครงการแล้ว 2 โครงการ คือโครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ยางเพื่อขยายกำลังการผลิต/ปรับเปลี่ยนเครื่องจักการผลิต วงเงินกู้ 15,000 ล้านบาท  และโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการยาง วงเงินกู้ 10,000 ล้านบาท  หมายความว่ารัฐบาลยอมจ่ายเงิน 750 ล้านบาท แทนผู้ประกอบการที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยกู้เงินให้ธนาคารเจ้าหนี้ ในสองโครงการนี้)
3.สร้างตลาดการซื้อขายยางธรรมชาติ โดยเชื่อมโยงให้มีการทำสัญญาซื้อขายและส่งมอบสินค้าจริงระหว่างเกษตรกรชาวสวนยางกับผู้ซื้อ
4.ร่วมมือกับต่างประเทศ เพื่อกำหนดแนวทางจัดการเก็บสต็อกยางร่วมกันนั้น
  ในแนวทางการ.เร่งรัดการใช้ยางภายในประเทศให้มากขึ้น โดยนำยางมาใช้สร้างถนน ทำอิฐบล็อก ทำพื้น ฝาย หรือผลิตภัณฑ์แปรรูป เป็นต้น พร้อมทั้งเร่งการโค่นต้นยางเก่าเพื่อลดอุปทานภายในประเทศ เพื่อให้ลดผลผลิตยางในอนาคต เป็นแนวคิดที่ถูกต้องเหมาะสมและมีมานานแล้ว แนวทางนี้จะไม่ถูกนำไปปฏิบัติให้เกิดขึ้นอย่างเด็ดขาดหากเป็นห่วงเวลาในยุครัฐบาลประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้งจะเป็นเพียงหมึกที่เปื้อนติดกระดาษแค่นั้น เพราะมีข้อขัดข้องบางอย่างที่ไม่แสดงออกมาให้เห็นอีกจำนวนมากเปรียบเหมือนก้อนน้ำแข็งที่ลอยน้ำมีส่วนของน้ำแข็งที่จมน้ำอยู่ก้อนใหญ่มากกว่าส่วนที่มองเห็น   สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งยวดในยุครัฐบาลที่มาจาก คสช. คือการสร้างอุปสงค์ยางพาราให้เกิดขึ้นด้วยการใช้การตลาดเป็นตัวขับเคลื่อน  วิธีขับเคลื่อนที่ผู้มีอำนาจรัฐอยู่ในมือคือการออกเป็นนโยบายหรือข้อสั่งการให้หน่วยงานภาคราชการเป็นการเฉพาะ ใช้วัสดุอุปกรณ์หรือผลิตภัณฑ์ใดๆ ที่มียางพาราเป็นวัสดุหรือส่วนประกอบเป็นลำดับแรก เพื่อให้สอดคล้องกับระเบียบราชการ ต้องนำระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535  มาปรับปรุง/แก้ไขใหม่ ให้สนอบตอบต่อนโยบายในการเพิ่มปริมาณการใช้ยางในประเทศให้มากขึ้นด้วย  วิธีคิดแบบนี้จะส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ของยางพาราโดยตรง ความคิดในการนำยางมาใช้ประโยชน์เป็นวัสดุแทนวัสดุอื่นสร้างถนน ทำอิฐบล็อก ทำพื้น  ฝาย หรือผลิตภัณฑ์แปรรูปต่างๆ นั้นมีมานานแล้ว มีหลายๆ หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ได้ศึกษา วิจัยคิดค้นไว้แล้วระดับหนึ่ง แต่ยังไม่นำมาประยุกต์ใช้และต่อยอดให้เกิดเป็นรูปธรรมออกสู่สาธารณะแม้แต่เรื่องเดียว  ลองมาช่วยกันวิเคราะห์ดูถึงเหตุต่างๆ ที่ผู้เกี่ยวข้องมีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องเหล่านี้ดูว่าเป็นเช่นไร เริ่มจากถ้าได้นำผลงานจากการศึกษา วิจัย คิดค้น การใช้ยางพาราเพื่อทดแทนวัสดุอื่นที่หน่วยงานต่างๆ ทำไว้มาทดลองทำเพื่อใช้งานจริงและรัฐบาลมีนโยบาย/ข้อสั่งการลงมาโดยอาจจะนำร่องทำในที่ใดๆ ก็ได้เช่น  องค์การสวนยาง และหรือที่อื่นๆ เพื่อสร้าง/ปรับปรุงสิ่งปลูกสร้าง  ถนน  ลานกีฬา ฯลฯ  ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 ที่ปรับปรุง/แก้ไขให้เอื้อต่อนโยบายการเพิ่มปริมาณการใช้ยางในประเทศแล้ว  จะเท่ากับเป็นการดึงปริมาณยางพาราเข้าสู่ระบบการผลิตและผลิตภัณฑ์ในเชิงอุตสาหกรรมได้อย่างมากและทันที และต่อมาขยายผลการดำเนินงานรุกเข้าไปในพื้นที่ชุมชนที่อยู่ภายใต้การดูแลของ อบต. อบจ. ตามลำดับ ผู้มีส่วนได้โดยตรงคือเกษตรกรชาวสวนยางจะจำหน่ายผลผลิตได้ราคาที่สูงขึ้นคุ้มค่าเหมาะสมเพราะปริมาณการใช้ยางเป็นที่ต้องการมากขึ้นในภาคอุตสาหกรรม ส่งผลทางอ้อมให้ชีวิตความเป็นอยู่และสังคมดีขึ้น
ภาคอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการอาจมีสองกลุ่มคือทั้งส่วนที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ ในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จะมีแนวคิดในการใช้ยางพาราทำนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ทดแทนวัสดุอื่น ผู้ประกอบการกลุ่มนี้ในระยะแรกต้องมีต้นทุนการพัฒนาองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ นวัตกรรม และลงทุนด้านเทคโนโลยีการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สามารถใช้งานได้เหมาะสมดียิ่งขึ้น (สร้างความก้าวหน้าภาคการแปรรูปในอุตสาหกรรมยางให้สูงขึ้น)  ในกลุ่มที่เสียประโยชน์อาจจะเป็นกลุ่มทุนที่ไม่ต้องการให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ  ที่สร้างผลิตภัณฑ์ใดๆ เข้ามาทดแทน    ผลิภัณฑ์ที่ใช้วัสดุเดิมที่มีใช้อยู่แล้ว หากใช้ยางพาราเป็นวัสดุส่วนผสมในการสร้างถนนทดแทนวัสดุอื่นได้ คำถามที่ว่าวัสดุชนิดที่ใช้อยู่เดิมจะไปอยู่ที่ไหนในอุตสาหกรรม นี่เป็นเพียงหนึ่งเรื่องที่ชวนให้พิจารณา ผลประโยชน์ที่เคยได้รับกลับต้องเสียไปอย่างมหาศาลจะยอมรับได้หรือไม่ หากสถานการณ์เดินไปแบบนี้กลุ่มผู้เสียประโยชน์คงไม่นิ่งเฉยอย่างแน่นอนจะต้องมีกระบวนการอะไรบางอย่างออกมาเพื่อสกัดไม่ให้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่จะใช้ยางพาราเป็นวัสดุประกอบแทนวัสดุอื่นสร้างถนนออกมาได้อย่างง่ายๆ เห็นอะไรที่เป็นเรื่องที่ขัดแย้งกันอยู่บ้างหรือไม่ ด้วยการลงทุนทางด้านเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์และนวัตกรรมที่ต้องใช้เม็ดเงินอย่างมาก จึงอาจมีบางสิ่งหรือแหล่งข้อมูลบางแห่งที่ส่งสัญญาณออกมาว่ามีความไม่คุ้มค่าในการลงทุน หรือศึกษาดูแล้วมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าการทำถนนแบบปัจจุบันมากเพื่อหวังผลเก็บโครงงานนี้ไว้ก่อน หากแนวคิดนี้เป็นจริงก็น่าเสียดายโอกาสในการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมอย่างมาก เมื่อพิจารณาว่าถ้านำเม็ดเงินที่จ่ายชดเชยแทนดอกเบี้ยเงินกู้ในสองโครงการนั้น จำนวน 750 ล้านบาท นำไปสร้างสิ่งปลูกสร้างหรือที่มียางพาราเป็นส่วนประกอบทดแทนวัสดุอื่น หรือให้หน่วยงาน/องค์กรต่างๆ นำไปวิจัย/ค้นคว้าและพัฒนาเทคโนโลยีการสร้างถนนด้วยยางพาราทดแทนวัสดุอื่น ผลการดำเนินงานถึงแม้จะเป็นการนำร่องและไม่ประสบผลสำเร็จอย่างสมบูรณ์ แต่ความคุ้มค่าได้มากกว่าเมื่อเปรียบเทียบเม็ดเงินจำนวนเดียวกันที่ภาครัฐต้องจ่ายชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ให้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ  เพราะนำไปสร้าง/ปรับปรุงสิ่งปลูกสร้างที่มียางพาราเป็นส่วนประกอบทดแทนวัสดุอื่น ส่งผลโดยตรงถึงตัวเกษตรการชาวสวนยางพาราสามารถวัดค่าได้
การผลักดัดให้เกิดอุปสงค์ทำให้เกิดตลาดขนาดใหญ่นั้นรัฐบาลทำได้ด้วยการออกนโยบาย หรือข้อสั่งการ เช่น ให้ส่วนราชการท้องถิ่นสร้างหรือซ่อมถนนที่มียางพาราเป็นส่วนประกอบ หรือพื้นลานกีฬา อุปกรณ์การกีฬา วัสดุและผนังกันกระแทรก ฯลฯ   ผลที่จะเกิดขึ้นก็คือเม็ดเงินจำนวน 750 ล้านบาท (เงินที่จะต้องนำไปชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการ) จะถูกนำไปซื้อยางพาราจากเกษตรกรชาวสวนยางโดยตรง (เกษตรกรชาวสวนยางได้รับประโยชน์โดยตรงเต็มเม็ดเต็มหน่วย) เพื่อนำไปแปรรูปทำผลิตภัณฑ์ที่ต้องใช้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมภาคการผลิตที่ใช้ยางพาราเป็นวัตถุดิบจะหันมาสนใจลงทุนใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการสร้างถนนด้วยยางพารามากขึ้นเพราะมีตลาดขนาดใหญ่รองรับแน่นอน จะส่งผลให้เกิดสองเรื่องคือ การปรับโครงสร้างปริมาณการใช้ยางพาราในประเทศให้สูงขึ้น และส่งเสริมการพัฒนาวิทยาสาสตร์ นวัตกรรมและเทคโนโลยีการสร้างผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่มีส่วนประกอบของยางพาราทดแทนวัสดุอื่น ภาคอุตสาหกรรมก็จะยกระดับการพัฒนาให้สูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่งอย่างต่อเนื่องและนโยบายอย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นการกีดกันทางการค้าเพราะเป็นการสร้างสาธารณูปโภคของประเทศ มองในระยะยาวแล้วคุ้มค่ามาก เพียงแต่รัฐบาลในยุค คสช. มีความกล้าหาญเพียงพอที่จะออกมาตรการเพื่อให้ อบจ. และ อบต. นำไปปฏิบัติด้วยการให้สร้าง/ซ่อมสิ่งปลูกสร้าง ถนนและสาธารณูปโภคพื้นฐาน ในพื้นที่ที่ตนเองดูแลให้ใช้ยางพาราเป็นวัสดุประกอบ ผลที่เห็นชัดเจนคือยางพารามีช่องทางระบายออกสู่ตลาดที่ใหญ่มากๆ ลองเปรียบเทียบดูความคุ้มค่าผลที่คาดว่าจะได้รับกับเม็ดเงินที่ใส่ลงไปคงเห็นแนวทางที่ควรแล้วครับ

                                                 ติดตามบทความ/แหล่งข้อมูล

เรียบเรียง : สิทธิชนคน กสอ.

วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2558

เว็บไซต์มือใหม่

ขอบคุณครับผู้บริหารที่ให้ความสนประเด็นการสร้าง กองพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา 2 (กพข.2)ให้เป็นหน่วยงานที่เป็นเพื่อนแท้สนับสนุนและส่งเสริมภาคธุรกิจอุตสาหกรรม ให้อยู่ในใจและความทรงจำที่ดีของผู้ประกอบการและผู้มีส่วยเกี่ยวข้องตลอดไป

          ภารกิจนี้จะทำสำเร็จได้  หน่วยงาน กพข.2 เองต้องทำการตลาดด้วย และหนึ่งในกิจกรรมทางการตลาดคือการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์กิจกรรมและสารสนเทศต่างๆ  ของหน่วยงานลงในช่องทางผ่านเว็บไซด์ การใช้เว็บไซด์เป็นเครื่องมือนั้น ส่วนที่เป็น Software มีส่วนประกอบอยู่สองอย่างคือ ส่วนทีหนึ่งบุคลากรที่ทำหน้าที่เป็น Back Office ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลเนื้อหาข้อมูล เทคนิคและศิลปะเพื่อนำเสนอข้อมูลบนเว็บไซด์ และในส่วนที่สองเกี่ยวกับตัวข้อมูลที่จะนำเสนอบนเว็บไซต์ เป็นส่วนสำคัญมากในการสร้างการรับรู้ การยอมรับของผู้ประกอบการและภาคอุตสาหกรรม แนวทางที่จะได้ข้อมูลที่ดีนั้นผู้บริหารจำเป็นต้องมอบหมายให้บุคลากรในส่วนงานต่างๆ ภายใต้ กพข.2 เป็นผู้จัดทำข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่องเพื่อสนับสนุน Back Office นำเสนอข้อมูลให้ผู้ประกอบการและผู้เกี่ยวข้องผ่านช่องทางเว็บไซต์ต่อไป          
          กระบวนการทั้งหมดนี้คาดว่าจะเกิดผลลัพธ์ในการรับรู้และยอมรับภาพลักษณ์ที่ดีของ กพข. 2 อย่างแน่นอน 

วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2558

แผนที่ยางพาราไทย

ตอนที่ 2 : สินเชื่อยางแนวทางพยุงราคา

โครงการสินเชื่อยาง เป็นโครงการหนึ่งที่อยู่ในแนวทางที่ 2 (ผลักดันและเร่งรัดโครงการปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ให้สถาบันเกษตรกรรับซื้อยางจากเกษตรกรในราคาที่สูงขึ้น และการปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการ นำเงินเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อใช้ในการแปรรูปยาง อีกทั้ง สนับสนุนให้มีการปล่อยเงินกู้ให้กับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน เพื่อเข้าถึงเกษตรกรมากขึ้น)ในส่วนของการชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ให้กับผู้ประกอบการนำเงินไปซื้อน้ำยางข้นเพื่อเก็บน้ำยางเข้าสะต๊อกของโรงงานให้เต็มจำนวนสะต๊อก     ใช้วงเงิน 10,000 ล้านบาท โดยให้ผู้ประกอบการกลุ่มน้ำยางข้นกู้เงินหรือขอสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ตามที่ผู้ประกอบการมีอยู่ เพื่อนำเงินไปหมุนเวียนซื้อน้ำยางข้นจากเกษตรกรชาวสวนยางมาเข้าสะต๊อกให้เต็มจำนวนในช่วงเวลาที่ผลผลิตน้ำยางออกมามาก โดยเล็งเห็นผลว่าเป็นการดึงปริมาณน้ำยางออกจากมือเกษตรกรให้มากที่สุดและเร็วที่สุดและคาดว่าจะส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำยางข้นมีมากยิ่งขึ้นเพื่อดึงราคายางพาราให้สูงขึ้นตาม วิธีที่ทำก็คือกลุ่มผู้ประกอบการกลุ่มน้ำยางข้นไปกู้เงินจากสถาบันการเงินมาใช้ซื้อน้ำยางข้นในวงเงิน 10,000 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ผู้ประกอบการต้องจ่ายให้ธนาคารเจ้าหนี้ตามอัตราดอกเบี้ยของสถาบันการเงิน ซึ่งปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5 บาท คิดเป็นเม็ดเงินที่ใช้ในโครงการอยู่ที่ 500 ล้านบาท ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการสินเชื่อยางจะได้รับการชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 3 บาท รวมเม็ดเงิน 300 ล้านบาท หมายความว่าผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการสินเชื่อยางจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ให้ธนาคารเจ้าหนี้รวมทั้งสิ้น 500 ล้านบาท ในจำนวนนี้ภาครัฐจ่ายชดเชยแทนให้ 300 ล้านบาท ผู้ประกอบการจ่ายเอง 200 ล้านบาท  เรื่องแบบนี้ท่านเห็นเป็นอย่างไรมาพิจารณาวิเคราะห์เรื่องนี้กันสักหน่อยจะได้เห็นมุมมองต่างๆ ได้หลากหลายยิ่งขึ้น  ก่อนอื่นต้องชมรัฐบาลยุคที่มาจาก คสช. ว่าทำงานได้อย่างรวดเร็ว คำนึงถึงความเดือดร้อนและเรื่องปากท้องของพี่น้องเกษตรกร ทุ่มเทการทำงานอย่างหนักเพื่อคลี่คลายความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรการอย่างแท้จริง เรื่องนี้ถูกยกขึ้นเป็นวาระปัญหาระดับชาติ ก็คิดว่าโครงการสินเชื่อยางซึ่งเป็นกลไกชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่งที่จะขับเลื่อนการแก้ปัญหาราคายางทั้งระบบได้ส่งผลเป็นลูกโซ่ถึงตัวเกษตรกรชาวสวนยางจริงๆ คงได้ระดับหนึ่ง ท่านก็เห็นด้วยตามความข้างต้นนี้นะครับ  ในมุมมองอีกด้านหนึ่ง เมื่อพิจารณาดูกันอีกทีเปรียบเทียบข้อมูลให้รอบด้านแล้วค่อยสรุปตกผลึกทางความคิดกันดีกว่า ตามที่เราเห็นว่าเรื่องราวของยางพาราตั้งแต่ตอนต้นแล้วว่ามีบทสรุปที่เป็นหัวใจอยู่ที่ภาคอุปทาน มีอัตราการเติบโตที่สูงกว่าภาคอุปสงค์ การใช้มาตรการช่วยเหลือผ่านเครื่องมือต่างๆ เช่นโครงการสินเชื่อยางเพื่อพยุงราคายางจึงถือว่าเป็นการใช้เครื่องมือที่ถูกต้องเหมาะกับเวลาหรือไม่ ถ้าเปรียบปริมาณยางที่ผลิตออกมาเรื่อยๆ เหมือนปริมาณฝนตกไม่หยุดมีน้ำที่ไหลหลากลงมาจากภาคเหนือเข้าสู่ภาคกลาง การผันน้ำลงสู่ทะเลเปรียบเหมือนกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ยางซึ่งในภาวะปกติระบายได้ทันก็ไม่เป็นประเด็นปัญหา ปริมาณน้ำที่ไหลลงมามีอัตราที่มากกว่าอัตราปริมาณน้ำที่ระบายออกไป สถานการณ์นี้ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมแน่นอน เช่นเดียวกับปริมาณยางพาราที่ระบายขายออกไปไม่หมดจึงมีปริมาณยางเหลืออยู่ในระบบฉันนั้น แล้วอย่างไรจะเป็นการช่วยไม่ให้น้ำท่วมได้  วิธีคิดเรื่องยางพาราก็เป็นแนวทางเดียวกัน มีผู้คิดได้เสนอข้อคิดความเห็นทั้งระบบให้รัฐบาลออกมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางและยกระดับราคายางพาราให้สูงขึ้น เครื่องมือหนึ่งในมาตรการเหล่านั้นก็คือโครงการสินเชื่อยาง ภาพของโครงการนี้แสดงออกมาให้เห็นว่าเป็นโครงการที่ดีในระดับหนึ่ง เนื้อหาหลักของโครงการเป็นการชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะผู้ประกอบการกลุ่มน้ำยางข้นในอัตราร้อยละ 3 ที่ไปกู้สถาบันการเงินต่างๆ ในวงเงินกู้รวม 10,000 ล้านบาท  โดยมีเงื่อนไขให้ผู้ประกอบการนำเงินกู้นี้ไปหมุนเวียนซื้อน้ำยางข้นเก็บเข้าสะต๊อกให้เต็มตลอดเวลา เมื่อโครงการนี้ดำเนินต่อไปคาดการได้ว่าจะมีปริมาณน้ำยางข้นจำนวนหนึ่งจะไหลเข้าโกดังเก็บของผู้ประกอบการ เกษตรกรชาวสวนยางขายน้ำยางได้ปริมาณเพิ่มขึ้น คล้ายกับตลาดมีความต้องการมากขึ้นราคาน้ำยางก็จะขยับตัวสูงขึ้นแต่วัดค่าไม่ได้ว่า ราคาสูงขึ้นแค่ไหนจากโครงการนี้  เกษตรการชาวสวนยางไม่ได้รับประโยชน์โดยตรงต้องรอดูไปว่าโครงการนี้จะส่งผลต่อราคาน้ำยางมากน้อยแค่ไหนอย่างไร เปรียบเหมือนการทำโครงการนี้ผิดฝาผิดตัวหรือเกาไม่ถูกที่คัน ถ้าหันมาดูแบจำลองเปรียบเทียบกับสถานการณ์น้ำท่วม  คล้ายกับว่าโครงการนี้กำลังใช้ความพยายามต่อสู้กับสถานการณ์น้ำท่วมด้วยการสร้างแก้มลิงเป็นตัวช่วยดูดซับปริมารณน้ำยางที่กำลังไหลสู่ตลาด  ก็ช่วยได้ระดับหนึ่งซึ่งค่อนข้างจะได้ผลน้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณน้ำยางที่ผลิตออกมากและระบายออกต่างประเทศได้ช้าและปริมาณไม่มากพอ  เหตุการณ์ลักษณะนี้จะเกิดขึ้นซ้ำๆ เป็นแบบนี้ทุกปี   ทีนี้ลองพิจารณาแยกส่วนให้ชัดถึงผลลัพธ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น โครงการนี้มีผู้เกี่ยวข้องได้เสียอย่างไรบ้าง เริ่มจากคนที่หนึ่งคือภาครัฐ  มติ ครม.เห็นชอบให้ดำเนินโครงการนี้ รัฐจำต้องนำภาษีอากรจากประชาชนออกมาจ่ายชดเชยค่าดอกเบี้ยเงินกู้ให้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ 300 ล้านบาท  คนที่สองเป็นเหล่าผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ เป็นผู้รับผลประโยชน์นี้จากเงินภาษีอากร 300 ล้านบาทที่รัฐบาลจ่ายแทนให้ คนที่สามเป็นเกษตรกรชาวสวนยางที่ขายน้ำยางได้ราคาที่สูงกว่าราคาตลาดปกติทั่วไป (สูงกว่ากี่บาทหรือไม่) ข้อนี้ไม่สามารวัดเป็นมูลค่าออกมาได้ ภาพที่แสดงให้เห็นนี้ยังสามารถบ่งชี้ถึงกลุ่มผู้รับประโยชน์จากโครงการนี้ เชื่อได้ว่าน่าจะมาจากกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับยางพาราเพียงไม่กี่รายที่เสนอแนวความคิดนี้เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนมาตรการต่างๆ ออกมาช่วยเหลือพยุงราคายางไม่ให้ตกต่ำ เป็นผลงานเด่นของรัฐบาล เพื่อพิสูจน์ความจริงและการยอมรับผลงานชิ้นนี้ ต้องมีหน่วยติดตามสำรวจและสอบถามจากพี่น้องเกษตรการชาวสวนยางว่าได้รับประโยชน์ราคาที่เพิ่มขึ้นและมีความพึงพอใจกับมาตรช่วยเหลือในโครงการสินเชื่อยางหรือไม่ คำตอบนั้นคือเสียงสวรรค์ที่ต้องน้อมรับนะครับ

เรียบเรียง : สิทธิชนคน กสอ.