วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ยางพาราไทยกับงานวิจัยมุ่งเป้า ๒๕๕๘

การสัมมนา “ยางพาราไทยกับงานวิจัยมุ่งเป้า ๒๕๕๘

          เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๘ เวลา ๐๘.๓๐ น.  ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ  สรุปสาระสำคัญของการสัมมนาได้ดังนี้

1. การสัมมนาครั้งนี้ จัดโดยเครือข่ายองค์กรบริหารงานวิจัยแห่งชาติ (คอบช.) โดยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)  มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเครือข่ายและบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน  พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้นักวิจัยและบุคลากรจากภาคอุตสาหกรรมได้ร่วมมือกันในการพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราของประเทศ ประกอบด้วยนักวิจัย ผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ ภาคอุตสาหกรรมยางพาราจากภาคเอกชน และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการสัมมนาในครั้งนี้

2. การสัมมนาครั้งนี้ แบ่งออกเป็น ๓ ช่วง สามารถสรุปได้ดังนี้
๒.๑ การปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “นโยบายภาครัฐกับทิศทางยางพาราไทย”  โดยนายอำนวย  ปะติเส  อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สรุปได้ดังนี้
ปัจจุบันภาครัฐมีนโยบายในการพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราผ่าน ๒ กลไก ได้แก่
กลไกการส่งเสริม  ผ่านการก่อตั้งการยางแห่งประเทศไทย (กยท.)  ซึ่งรวมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมยางของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๓ หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานสงเคราะห์กองทุนการทำสวนยาง (สกย.)  องค์การสวนยาง (อสย.) และสถาบันวิจัยยาง
กลไกการควบคุม  ผ่านพระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ. ๒๕๔๒  โดยมีการควบคุมทั้งในด้านคุณภาพและตลาด
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ กำหนดจุดมุ่งหมายให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากประเทศที่มีรายได้ปานกลาง  ซึ่งแนวทางในการพัฒนาอุตสาหกรรมยางให้มีศักยภาพสอดคล้องกับแผนดังกล่าว คือ การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาโดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์  โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานวิจัยมุ่งเป้า ซึ่งมีการต่อยอดงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์
ปัจจุบันมีการแปรรูปยางเป็นผลิตภัณฑ์ยางเพียงร้อยละ ๑๔  ควรมีการส่งเสริม
การแปรรูปเพื่อใช้ยางภายในประเทศ
การพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราต้องดำเนินการขับเคลื่อนทั้งระบบเชิงบูรณาการ ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าการสร้างเครือข่ายอุตสาหกรรมยางพาราสามารถตอบสนองการพัฒนาอุตสาหกรรมยางได้
เป็นอย่างดี
๒.๒ การเสวนาวิชาการเรื่อง “วิกฤต หรือ โอกาส : ราคายางพาราไทย” โดยนายพิเชฏฐ์
พร้อมมูล  (ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร)  นางลดาวัลย์  คำภา (รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ)  และนายวรเทพ  วงศาสุทธิกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็กซ์คอร์ปอร์เรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) สรุปได้ดังนี้
ประเด็นสถานการณ์ยางพาราปัจจุบัน  นายพิเชฏฐ์ฯ มีความเห็นว่าราคายาง
มีหลักการเดียวกันกับราคาหุ้น กล่าวคือ เกิดจากความเชื่อทางการตลาดและปัจจัยพื้นฐานขององค์กร ซึ่งซื้อขายในตลาดซื้อขายล่วงหน้า (future market) ดังนั้น การจะผลักดันราคายางให้สูงขึ้น อาจพิจารณาจากปัจจัยที่ส่งผล เช่น การลดพื้นที่การปลูก และลดผลผลิต  นายวรเทพฯ มีความเห็นว่าในขณะที่ราคายางตกต่ำจะเป็นวิกฤตของผู้ขาย แต่เป็นโอกาสของผู้ซื้อ ส่วนนางลดาวัลย์ฯ มีความเห็นว่าอุปสรรคของการกำหนดนโยบายใน   การรักษาเสถียรภาพราคายาง เกิดจากในปัจจุบันยังไม่สามารถคำนวณต้นทุนที่แท้จริงได้ และเห็นว่างานวิจัย    มุ่งเป้าจะเป็นแนวทางหนึ่งในการรักษาเสถียรภาพราคายางในอนาคต
ประเด็นนโยบายของรัฐในการรักษาเสถียรภาพราคายางในปัจจุบัน  นายวรเทพฯ มีความเห็นว่าเป็นการสร้างความต้องการของตลาด (demand) เทียม ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาระยะสั้น และอาจส่งผลต่อกลไกตลาด  แต่เห็นด้วยกับการส่งเสริมการปลูกยางพารา เนื่องจากในอนาคตความต้องการใช้จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น  ส่วนนางลดาวัลย์ฯ มีความเห็นว่าเกษตรกรชาวสวนยางควรมีอาชีพเสริม และต้องพิจารณาความคุ้มทุนในการผลิต  ด้านนายพิเชฏฐ์ฯ มีความเห็นว่ารัฐควรมีมาตรการเด็ดขาดในการลดพื้นที่ปลูกและเสนอพืชทางเลือกอื่นให้เกษตรกรอย่างเหมาะสม
ประเด็นงานวิจัยมุ่งเป้า  นางลดาวัลย์ฯ มีความเห็นว่าต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน
และร่วมมือกันดำเนินการอย่างบูรณาการ  มีการหาตลาดใหม่ ปรับปรุงคุณภาพให้สูงขึ้นตามมาตรฐานที่ตลาดโลกต้องการ  สำหรับนายวรเทพฯ มีความเห็นว่าควรส่งเสริมด้านการวิจัยและพัฒนาวัตถุดิบเพื่อตอบสนองการใช้งานในประเทศและการส่งออกวัตถุดิบไปขายยังต่างประเทศเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ต่อไป  ส่วนนายพิเชฏฐ์ฯ มีความเห็นว่า การใช้ยางในประเทศหรือการส่งออกที่มากขึ้น ไม่ส่งผลกระทบต่อราคายาง  การผลักดันราคายางให้สูงขึ้นอาจเกิดจากการส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ไม่เคยใช้ยางเป็นวัตถุดิบมาก่อน โดยต้องมีการประชาสัมพันธ์สรรพคุณของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวด้วย  สำหรับการนำยางพาราไปทำถนนนั้น ผลการวิจัยพบว่าสามารถทำได้ และเป็นสินค้าที่มีศักยภาพมากที่สุด  แต่เหตุที่ไม่สามารถกำหนดเป็นนโยบายได้ เนื่องจากต้องพยายามรักษาส่วนแบ่ง
ทางการตลาด และหากมีการใช้ถนนจากยางธรรมชาติอย่างแพร่หลาย อาจส่งผลให้ยางขาดตลาดได้ในอนาคต
๒.๓ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผลงานวิจัยด้านยางพาราเพื่อการพัฒนาต่อยอดและการนำไปใช้ประโยชน์  โดยมีการแบ่งเป็น ๓ ห้อง ได้แก่ อุตสาหกรรมยางพาราต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ สรุปได้ดังนี้
ห้องย่อย ๑ อุตสาหกรรมยางพาราต้นน้ำ มีการนำเสนอการวิจัย ๔ เรื่อง ได้แก่  
       ๑) การควบคุมราที่ปนเปื้อนบนยางแผ่นดิบทางชีววิธีโดยใช้ Streptomyces sp.CMU-NKS-3 และรา Muscodor cinnamomi CMU-Cib 461 โดย ศ.ดร. สายสมร  ลำยอง และคณะ (คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) ซึ่งผลการวิจัยนี้ แสดงถึงประสิทธิภาพของสารสกัดเมตาบอไลต์แห้ง และสารระเหยจากเชื้อราสังเคราะห์  โดยพบว่า ปริมาณการใช้เชื้อราสังเคราะห์ที่เพิ่มขึ้นบนยางแผ่นดิบ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรมควันแผ่นยาง และลดการเจริญเติบโตของเชื้อราที่ปนเปื้อนได้  
      ๒) การศึกษานโยบายและมาตรการรักษาเสถียรภาพราคายางพาราของประเทศไทยด้วยกองทุนรักษาเสถียรภาพราคาและแนวทางที่เหมาะสมเพื่อจัดตั้ง โดย ดร. มนต์ชัย  พินิจจิตรสมุทร และคณะ (คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์) ได้นำเสนอนโยบายยางพาราไทย ว่าควรเป็นไปในลักษณะบรรเทาสถานการณ์ และพัฒนาระบบยางพาราโดยใช้มาตรการตามช่วงเวลา ได้แก่ ระยะเร่งด่วน ระยะสั้นและระยะยาว รวมทั้งจัดตั้งกองทุนรักษาเสถียรภาพซึ่งเป็นมาตรการที่จำเป็นในการบรรเทาผลกระทบที่มีต่อภาคเกษตรรายย่อย และสร้างการปรับพื้นฐานการดำเนินงานของเกษตรกรในระยะยาว  
      ๓) การพัฒนายุทธศาสตร์สำหรับการปลูกยางพาราของประเทศไทยด้วยประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจ โดย ผศ.ดร. ธันวดี  สุขสาโรจน์ และคณะ (สถาบันพัฒนาสุขภาพอาเซียน มหาวิทยาลัยมหิดล) ซึ่งนำเสนอร่างยุทธศาสตร์การพัฒนาอย่างยั่งยืนในการปลูกยางพาราของประเทศไทย     จากผลการศึกษา ประกอบด้วย ๖ กลยุทธ์ คือ การพัฒนาเกษตรกร การเพิ่มประสิทธิภาพ การผลิตเพื่อความ  เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การรับมือภาวะภัยพิบัติ การเพิ่มศักยภาพเชิงรุกในการใช้ยางพาราในประเทศ      การเสริมศักยภาพการแข่งขันของยางธรรมชาติ และการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันระดับภูมิภาคและระดับโลก  
    ๔) การศึกษาสมดุลคาร์บอนและน้ำเพื่อใช้เป็นข้อมูลทำคาร์บอนฟุตปริ้นต์
และวอเตอร์ฟุตปริ้นต์ของสวนยางพารา : ระยะที่ ๒ โดย รศ.ดร. พูนพิภพ  เกษมทรัพย์ และคณะ (คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์) ซึ่งผลการวิจัยนี้ พบว่า ปริมาณการใช้ปุ๋ยต่อหน่วยเป็นสาเหตุหลักที่ส่งผลต่อค่าคาร์บอนฟุตปริ้นท์ ทั้งนี้ เกษตรกรส่วนใหญ่ใช้ปุ๋ยเกินความจำเป็นตามข้อแนะนำของสถาบันวิจัยยาง ดังนั้น เกษตรกรจึงควรใช้ปริมาณปุ๋ยที่เหมาะสม ซึ่งสามารถลดค่าคาร์บอนฟุตปริ้นท์ได้อีกด้วย
ห้องย่อย ๒ อุตสาหกรรมยางพารากลางน้ำ มีการนำเสนอการวิจัย ๔ เรื่อง ได้แก่
      ๑) การทดสอบความเป็นพิษและฤทธิ์ต่อกระบวนการสร้างเม็ดสีเมลานินของ
สารสกัดเมล็ดยางพารา โดย ดร. ภักวดี  ไชยกุล และคณะ (สำนักวิชาวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง มหาวิทยาลัย
แม่ฟ้าหลวง)  ซึ่งผลการวิจัยนี้ แสดงถึงการพัฒนาศักยภาพเมล็ดยางพาราเพื่อใช้ประโยชน์ ในอุตสาหกรรม      เครื่องสำอาง โดยนำสารสกัดไปใช้ในการลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน
      ๒) การผลิตยางธรรมชาติความหนืดคงที่โดยกระบวนการป้องกันการเกิดเจล
โดย รศ.ดร. ศิริลักษณ์  พุ่มประดับ และคณะ (คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)  ซึ่งเป็นการกำจัดหมู่คาร์บอนิลโดยการแช่ยางจับตัวในสารละลายเบส ซึ่งเป็นวิธีที่ต้นทุนต่ำรวมทั้งง่ายต่อการปฏิบัติการ และล้างส่วนที่ไม่ใช่ยางออกด้วยสารลดแรงตึงผิว โดยงานวิจัยดังกล่าวสามารถควบคุมความหนืดในยางธรรมชาติเทียบเท่ากับกระบวนการเติมสารควบคุมความหนืดชนิดไฮดรอกซิลเอมีนนิวทรัลซัลเฟต  ทำให้ลดปัญหาการเสื่อมสภาพของยางจากความหนืดที่เปลี่ยนไปได้
      ๓) การพัฒนาระบบออกแบบ รูปแบบการเลื่อย ระบบควบคุมการอัดน้ำยา ระบบการควบคุมการอบ และเตาอบไม้ต้นแบบ สำหรับการผลิตไม้ยางพาราแปรรูปในโรงงานอุตสาหกรรม
โดย ผศ.ดร. นิรันดร  มาแทน และคณะ (ศูนย์วิจัยความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมไม้ สำนักวิชาวิศวกรรมศาสตร์และทรัพยากร มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์)  ซึ่งเป็นงานวิจัยที่คิดค้นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ SawWooD ซึ่งพัฒนาขึ้นเพื่อการออกแบบรูปแบบการเลื่อยไม้ซุงที่เหมาะสมในคอมพิวเตอร์ก่อนทำการเลื่อยจริง ImPregWooD ซึ่งพัฒนาขึ้นเพื่อการควบคุมการอัดน้ำยาโบรอน และ DryWooD ซึ่งพัฒนาขึ้นเพื่อให้โรงงานสามารถควบคุมสภาวะการอบในเตาอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
      ๔) การประเมินศักยภาพการเพิ่มอัตราการผลิตก๊าซชีวภาพด้วยการหมักร่วม และอัตราการทดแทนเชื้อเพลิงไม้ฟืนของสหกรณ์ผลิตยางแผ่นรมควัน  โดย รศ.ดร. สุเมธ  ไชยประพัทธ์ และคณะ (ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์) ซึ่งเป็นงานวิจัยที่นำเสนอแนวคิดในการจัดการน้ำเสียจากการผลิตยางแผ่นรมควันแบบครบวงจร โดยสามารถนำก๊าซชีวภาพไปใช้รมยางแผ่นกับไม้ฟืน อีกทั้งสามารถนำน้ำทิ้งที่ออกจากระบบผลิตก๊าซชีวภาพดังกล่าว ซึ่งมีธาตุอาหารที่จำเป็นต่อพืช ไปใช้ประโยชน์ทางการเกษตรต่อไปได้
ห้องย่อย ๓ อุตสาหกรรมยางพาราปลายน้ำ มีการนำเสนอการวิจัย ๔ เรื่อง ได้แก่  
        ๑) การศึกษาความเป็นไปได้ของการใช้ยางพาราในอุตสาหกรรมผลิตวัสดุอุปกรณ์
ทางการแพทย์และสุขภาพ โดย นพ. ฆนัท  ครุฑกุล และคณะ (คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล) ซึ่งผลการวิจัยแสดงถึงข้อได้เปรียบด้านต้นทุน (Cost Advantage) ของประเทศไทยเมื่อเทียบกับมาเลเซีย และสิงคโปร์ แต่ยังขาดความได้เปรียบด้านราคา (Price Advantage) ทำให้ไม่สามารถขายสินค้าราคาสูงได้ ดังนั้น จึงควรสนับสนุนกิจกรรมเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์จากยางพาราภายในประเทศ เพื่อทดแทนการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศที่มีมูลค่าสูง ๒) การพัฒนาวัสดุเคลือบผิวคลองผสมน้ำยางพาราสำหรับใช้บำรุงรักษาคลองชลประทาน โดย ผศ.ดร. พีรวัฒน์  ปลาเงิน และคณะ (คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม) ผลการวิจัยและทดสอบคุณสมบัติทางด้านวิศวกรรมของวัสดุเคลือบผิวคลอง ณ โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาเขื่อนป่าสัก ชลสิทธิ์ จังหวัดลพบุรี มีคุณสมบัติป้องกันการรั่วซึมและความต้านทานการกัดกร่อน ซึ่งสามารถใช้งานได้จริง   จึงสามารถนำไปใช้เคลือบผิวคลองและซ่อมรอยแตกร้าวได้  
       ๓) การวิจัยและพัฒนายางล้อรถยนต์ประหยัดพลังงาน โดย ผศ.ดร. กฤษฎา สุชีวะ  และคณะ (คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล) ซึ่งผลการวิจัยพบว่า โครงสร้างยางล้อ แบบดอกยาง เนื้อยางการกระจายตัวของตัวเติมเสริมแรง การติดระหว่างยางกับตัวเติมเสริมแรง และเส้นลวดเหล็กที่ใช้เสริมแรงล้วนมีผลต่อการสูญเสียพลังงานของยางล้อขณะวิ่ง โดยแผนงานวิจัยสามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้พัฒนายางล้อรถประหยัดพลังงานร่วมกับบริษัทผู้ผลิตยางล้อที่เข้าร่วมโครงการได้ ซึ่งจะนำไปสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ต่อไป  
๔) การวิเคราะห์นโยบายที่เหมาะสมเพื่อการจัดการยางล้อยานยนต์ใช้แล้วของประเทศไทยระยะที่ ๒ โดย รศ.ดร. ประเสริฐ  ภวสันต์ และคณะ (คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ได้นำเสนอแนวคิดรูปแบบการจัดการยางล้อรถยนต์ที่ใช้แล้ว ได้แก่ การสนับสนุนการนำผลิตภัณฑ์รีไซเคิลไปใช้ การให้เงินทุนสนับสนุนในบางกระบวนการ และ การลดหย่อนภาษีสำหรับการลงทุนของกลุ่มอุตสาหกรรมรีไซเคิล โดยภาครัฐสามารถเลือกรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ซึ่งจะนำไปสู่การจัดการด้านสิ่งแวดล้อม   ที่เหมาะสม และเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐศาสตร์ได้อีกทางหนึ่ง
      3. จากการเข้าร่วมการสัมมนาในครั้งนี้  เจ้าหน้าที่ กพข. ๒ กสอ. ได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับงานวิจัยมุ่งเป้าด้านยางพารามากขึ้น  ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยจะได้นำความรู้และประสบการณ์ไปประยุกต์ใช้ในการวางแผนและพัฒนาการทำงานแบบบูรณาการระหว่างหน่วยงานต่อไป



ส่วนพัฒนาอุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยาง
กองพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา 2  กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม