วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

การบริหารความขัดแย้ง

การบริหารความขัดแย้ง

สถานการณ์ทำงานของตัวเองอยู่ในระดับผู้ปฏิบัติงานย่อมต้องมีหัวหน้างานหรือผู้บังคับบัญชาสายงานที่ตัวเองต้องรับมาปฏิบัติงานตามคำสั่งของหัวหน้างานและต้องให้สอดคล้องกับแนวทางและนโยบายของผู้บังคับบัญชา 2 ประเด็นนี้ก็เชื่อว่าผู้ที่ปฏิบัติงานโดยทั่วไปย่อมเข้าใจอย่างลึกซึ้ง หากแต่งงานที่ได้รับมอมหมายมาเป็นแนวทางที่ควรจะเป็นผู้ปฏิบัติงานอย่างเราๆ ทั่งหลายก็คงทำงานอย่ามีความสุขและถ้าไม่เป็นไปตามแนวทางดังกล่าวแล้ว ในฐานะที่เป็นผู้ปฏิบัติงานอย่างเราจะมีวิธีการหรือจัดการกับความขัดแย้งนี้อย่างไร
จากประเด็นตัวอย่างขอนำเสนอข้อชวนคิดให้ได้ลองสำดับข้อเท็จจริงให้ผู้สนใจได้พินิจ วิเคราะห์และได้สรุปความเห็นในเรื่องราวที่เกิดขึ้นทังหมดเขียนส่งข้อคิด ความเห็นเข้ามาเพื่อแบ่งปันความรู้ให้กับคนอื่นๆ ที่อาจประสบเรื่องความขัดแย้งทางความคิดได้ใช้เป็นเครื่องมือ หรือแนวทางในการทำงานต่อไป
....เริ่มจากต้นปีงบประมาณ 2552 นี้ (ต.ค.-พ.ย. 51) ตัวเองได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินกิจกรรมตามแผนการดำเนินงานและงบประมาณที่ได้รับจัดสรร โดยใช้วิธีคัดเลือกตามระเบียบพัสดุ รายละเอียดในการขออนุมัติแต่งตั้งกรรมการจัดจ้างนี่เองเป็นประเด็นที่ทำให้เกิดความคิดเห็นที่ขัดแย้งกัน ซึ่งหัวหน้าส่วนงานโดยขณะเดียวกันนั้นก็อยู่ในฐานะตำแหน่งเป็นประธานกรรมการจัดจ้าง ได้ขออนุมัติแต่งตั้งกรรมการร่วมงานอีก 4 คน ซึ่งก็เป็นไปตามระเบียบพัสดุ จากนั้นก็ได้เสนอขึ้นไปให้ผู้บังคับบัญชา (หัวหน้าสำนัก) ได้พิจารณาเพื่ออนุมัติ
เหตุการณ์เดียวกันเกิดในเวลาที่แตกต่างกันย่อมให้ผลที่ไม่เหมือนกันก็ได้ นโยบายเชิงป้องกันในเรื่องของความโปร่งใสตรวจสอบได้ และการควบคุมภายใน ในการแต่งตั้งกรรมการจัดจ้างที่ปรึกษา หนึ่งในนั้นจะต้องมีผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งเป็นบุคคลภายนอกเพื่อเข้ามาช่วยเสนอเทคนิคการดำเนินงานให้งานมีแนวทางเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ และสร้างการมีส่วนร่วมของบุคคลภายนอกซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดตัวชี้วัดของกรมฯ
ในเวลาถัดมา ผู้บังคับบัญชาจึงส่งเรื่องกลับมาขอให้คณะกรรมการมีผู้ทรงคุณวุฒิเข้ามาร่วมด้วย ด้วยเหตุผลที่กล่าวข้างต้นและให้ยึดถือเป็นนโยบายของสำนักฯ ด้วย
ใด ๆ ในโลกล้วน อนิจจัง การจะเปลี่ยนอะไรสักอย่างค่อนข้างจะง่าย แต่จะเปลี่ยนวิธีคิดของคนนั้นยากยิ่ง
ฝ่ายหัวหน้าส่วนงานก็โต้ว่าระเบียบพัสดุข้อไหนๆก็ไม่ได้ระบุว่าจะต้องมีผู้ทรงคุณวุฒิเข้ามาร่วมด้วย เว้นแต่ว่าโครงการานี้เป็นโครงการที่นำเงินกู้มาดำเนินงาน แต่โครงการนี้ไม่ได้กู้เงินมาทำ เป็นเงินงบประมาณปกติจึงไม่จำเป็นต้องแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิแต่อย่างใด
ฝ่ายเจ้าสำนักฯ ก็โต้กลับว่าถึงแม้ไม่มีระเบียบพัสดุกำหนดไว้ก็ตาม หน่วยงานเราเป็นหน่วยงานนำร่อง มีการคบคุมภายใน เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อกำหนดตัวชี้วัดของกรมฯ จำเป็นต้องมีผู้ทรงคุณวุฒิเข้ามาช่วยและมีส่วนร่วมในกรรมการจัดจ้างดังกล่าว
และแล้วเหตุการณ์นี้จะจบลงอย่างไร.....ท่านผู้อ่านได้ลำดับเหตุการณ์ ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้แล้ว ความคิดของท่านไม่มีผิด ท่านสามารถแบ่งปันข้อคิด ความเห็น ในเรื่องนี้ได้เพื่อให้คนอื่นๆ ใช้เป็นเครื่องมือ แนวทางในการจัดการกับปัญหาความคิดเห็นที่แตกต่างกันได้ พวกเราจะได้ปฏิบัติงานอย่างมีความสุข

CB : Change to bester

วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2551

B-Model

B-Model

B-Model เป็นแบบแผนอย่างหนึ่งของธุรกิจที่เป็นปัจจุบันเพียงแตะใครหลายคนไม่ได้สนใจเก็บมาวิเคราะห์หรือจัดรูปแบบในสาระสำคัญเท่านั้นเอง เราลองพิจรณากันดูสักนิดว่ารูปแบบการดำเนินธุรกิจในวงการกีฬาหลายๆ ประเภท เช่น กอล์ฟ ฟุตบอล บาสเก็ตบอล เทนนิสหรือวงการหมัดมวย ล้วนเป็นอาชีพได้ทั้งสิ้น นอกจากจะถือเป็นอาชีพได้แล้วผู้มีส่วนเกี่ยวข้องยังได้ดำเนินงานเป็นธุรกิจด้วย ลองย้อนคิดขึ้นไปดูว่ากีฬาที่กล่าวมาทุกประเภทนั้นทำเป็นธุรกิจได้อย่างไรหรือมันมีลักษณะเป็นแม่แบบอย่างไร จากหลักธรรมชาติของมวลมนุษย์ สรรพสิ่งใดๆในโลกล้วนแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายเท่านั้นไม่มีสิ่งใดเลยที่ไม่เป็นไปตามนี้ ในทางตรรกะก็มีแค่ จริง กับ เท็จ หรือ 0 กับ 1 เท่านั้น ในทางการแข่งขันกีฬา เมื่อวางกฎกิกาและแข่งกันถึงที่สุดแล้วก็จะมีฝ่ายแพ้และฝ่ายชนะ ซึ่งเมื่อผู้คนได้ดูเกมส์การแข่งขันที่มีความตื่นเต้น สนุกสนานในเกมส์มีการลุ้นและกลุ่มเชียร์ผลแพ้ชนะมากขึ้น ๆ จนเป็นกระแสความชอบและเป็นธุรกิจในที่สุด ในการวิเคราะห์แบบอย่างของธุรกิจการกีฬาก็จะขอย้อนคิดจากกีฬามวยก็แล้วกัน จาก Boxing Model หรือเรียกย่อว่า B-Model มีการแบ่งระดับชั้นของรูปแบบนี้ออกเป็น 3 ระดับ ดังนี้

- ระดับที่ 1 ความเป็นค่ายมวย ภารกิจหรือขอบเขตหน้าที่ความรับผิดชอบของค่ายมวยการเตรียมความพร้อมของนักชก การแสวงหานักชกเข้าร่วมงานในค่าย การฝึกซ้อม ฯลฯ ผู้คนที่เกี่ยวข้องในค่ายก็คือ เจ้าของค่าย ครูฝึกและนักชก รูปแบบธุรกิจในระดับนี้อาจเรียกว่าสถานะเป็นระดับผู้เล่น (Player)

- ระดับที่ 2 ความเป็นผู้จัดการแข่งขัน และหรือ การเป็นเจ้าของเวทีแข่งขัน (Promoter)
บทบาทหน้าที่และภารกิจหลักของสถานะในระดับนี้คือการเป็นผู้ประสานงานหัวหน้าคณะ จัดหาประกบคู่การชกเพื่อให้เกมส็ตื่นเต้น น่าสนใจ รวมทั้งการจัดการแข่งขัน รูปแบบธุรกิจในระดับนี้อาจเรียกว่าสถานะเป็น Matching

- ระดับที่ 3 ความเป็นสหพันธ์มวย หรือควาเป็นองค์กรมวย บทบาทหน้าที่และภารกิจของสถาบันหรือองค์กรคือการควบคุมกฎระเบียบ กติการ การสร้างหรือจัดให้มีสภาพเที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ

แล้วที่กล่าวถึง B-Model ทั้งหมดตั้งแต่ต้นนั้นจะเกี่ยวข้องกับกรมส่งเสริมฯ อย่างไร ช่วยกันส่ง Comment เข้ามาได้นะครับ คิดเห็นอย่างไรกระหน่ำส่งมาได้ไม่ต้องเกรงใจกัน รับฟังทุกข้อคิดเห็นเพื่อเป็นข้อมูลเขียนบล็อคต่อไป

วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2551

การถ่ายทอดเทคโนโลยีชีวภาพนาโนเทคโนโลยีอุตสาหกรรมแห่งอนาคตเพื่อนำไปสู่เชิงพาณิชย์ ปี 2551

1. ความเป็นมา
อุตสาหกรรมแห่งอนาคต (New Wave Industry) เป็นอุตสาหกรรมที่ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูงเป็นปัจจัยหลักในการพัฒนาอุตสาหกรรม โดยในปัจจุบันอุตสาหกรรมดังกล่าวได้อาศัยฐานความรู้ที่สำคัญมาจากเทคโนโลยีชีวภาพ และนาโนเทคโนโลยี ซึ่งเทคโนโลยีทั้ง 2 สาขายังได้ถูกนำไปประยุกต์ใช้ในหลายแขนงในหลายสาขาอุตสาหกรรมและก่อให้เกิดประโยชน์ทางพาณิชย์อย่างมากต่อภาคอุตสาหกรรมการผลิต
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจทั้งสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปได้มีการลงทุนจำนวนมากในการวิจัยและพัฒนาด้านเทคโนโลยีชีวภาพและนาโนเทคโนโลยี ทำให้เทคโนโลยีทั้ง 2 สาขาเกิดการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ส่งผลต่อการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ของภาคอุตสาหกรรม ในปัจจุบันเทคโนโลยีทั้ง 2 สาขา เป็นสิ่งที่ทุกประเทศทั่วโลกให้ความสำคัญ และตระหนักถึงผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของแต่ละประเทศเป็นอย่างมาก
สำนักพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ตระหนักถึงความสำคัญของเทคโนโลยีชีวภาพและนาโนเทคโนโลยีในการประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งจะมีผลอย่างมากต่อความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรม ตลอดจนการเกิดธุรกิจใหม่ที่อาศัยเทคโนโลยีนี้เป็นฐาน และการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในบางอุตสาหกรรม สำนักพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายจึงได้จัดทำโครงการนี้เพื่อส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีดังกล่าว โดยครอบคลุมถึงธุรกิจที่มีการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่นี้ในอุตสาหกรรมหรือสาขาเศรษฐกิจ เช่น เกษตร อาหาร สิ่งทอ ยานยนต์ การแพทย์และสาธารณสุข เวชสำอาง พลังงานและสิ่งแวดล้อม บรรจุภัณฑ์ เครื่องมือตรวจวิเคราะห์ เป็นต้น ตลอดจนธุรกิจที่ดำเนินธุรกิจโดยเฉพาะในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ และนาโนเทคโนโลยี เพื่ออุตสาหกรรม

2. วัตถุประสงค์
2.1 เพื่อส่งเสริมและพัฒนาวิสาหกิจ ให้สามารถตัดสินใจใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีชีวภาพและนาโนเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาธุรกิจในอนาคต ตามความเหมาะสมและสอดคล้องสภาวการณ์ของวิสาหกิจ
2.2 เพื่อให้คำปรึกษาแนะนำเชิงลึกแก่วิสาหกิจในด้านเทคโนโลยี การจัดการเทคโนโลยี การจัดการและวางแผนธุรกิจ การตลาดและการเงิน เพื่อให้สามารถพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมอย่างเป็นระบบ
2.3 เพื่อให้คำปรึกษาแนะนำและความช่วยเหลือแก่วิสาหกิจในการพัฒนาเครือข่ายและสร้างพันธมิตรทางธุรกิจและเทคโนโลยี
2.4 เพื่อส่งเสริมและพัฒนาการทำงานเชิงบูรณการระหว่างภาครัฐและเอกชน ที่เป็นระบบ
สอดรับกัน ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

3. กลุ่มเป้าหมาย
วิสาหกิจอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพและความพร้อมในการพัฒนาและลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตและธุรกิจนวัตกรรม


การดำเนินงาน : โครงการปรึกษาแนะนำเชิงลึกและถ่ายทอดเทคโนโลยีอุตสาหกรรมแห่งอนาคตเพื่อนำไปปฏิบัติเชิงพาณิชย์

1. กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้จัดทำแผนปฏิบัติการฯ จากการจ้างบริษัทที่ปรึกษาศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาอุตสาหกรรมโดยการนำนวัตกรรมไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์ พัฒนาประสิทธิภาพและผลิตภาพของSMEs โดยได้นำผลการศึกษาอุตสาหกรรมกุ้งแช่แข็งและกุ้งแปรรูป นวัตกรรมสมุนไพรในอุตสาหกรรมอาหารและนาโนเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรมสิ่งทอมาจัดทำแผนดำเนินการเนื่องจากอุตสาหกรรมกุ้งและสิ่งทอเป็นผลิตภัณฑ์ชีวภาพและนาโนเทคโนโลยีที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศเพราะเป็นสินค้าส่งออกที่สร้างรายได้เข้าประเทศปีละหลายหมื่นล้านบาท และเป็นอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ที่มีศักยภาพสูง

2.จากการรับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกอบการ กลุ่มเป้าหมายและผู้มีส่วนได้เสีย ได้สรุปข้อเสนอแนะ / ความคิดเห็นที่ได้มาจากการรับฟังฯนำมาใช้ในการปรับปรุงร่างแผนปฏิบัติการ ในปีงบประมาณ 2551 และได้ทำแผนงาน โครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีชีวภาพนาโนเทคโนโลยีและปรึกษาแนะนำเชิงลึกเพื่อใช้เชิงพาณิชย์ โดยเทคโนโลยีชีวภาพใช้ในอุตสาหกรรมการคัดเลือกลูกพันธ์กุ้งและนวัตกรรมสมุนไพรในอุตสาหกรรมอาหาร นาโนเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมสิ่งทอ

3. จากแผนปฏิบัติการ ในปีงบประมาณ 2551 ได้รับความเห็นชอบจากผู้มีอำนาจพิจารณา ในวงเงิน 3,600,000.00 บาท (สามล้านหกแสนบาทถ้วน) ให้ดำเนินกิจกรรมถ่ายทอดเทคโนโลยีชีวภาพและปรึกษาแนะนำเชิงลึกการตรวจคุณภาพลูกกุ้งโดยวิธี "ชริมพ์ไบโอเทค" (Shrimp Biotech PL quality examination)ในอุตสาหกรรมกุ้งแช่แข็งและกุ้งแปรรูป จำนวนไม่น้อยกว่า 5 ราย ถ่ายทอดเทคโนโลยีชีวภาพและปรึกษาแนะนำเชิงลึกสู่นวัตกรรมสมุนไพรในอุตสาหกรรมอาหาร จำนวนไม่น้อยกว่า 10 ราย และถ่ายทอดนาโนเทคโนโลยีและปรึกษาแนะนำเชิงลึกในอุตสาหกรรมสิ่งทอ จำนวนไม่น้อยกว่า 10 ราย

4. ดำเนินการถ่ายทอดเทคโนโลยีชีวภาพนาโนเทคโนโลยีและให้คำปรึกษาแนะนำเชิงลึกแก่วิสาหกิจ
- ถ่ายทอดการใช้สารสกัดออกฤทธิ์จากตำหรับสมุนไพรต้านเชื้อแบคทีเรียเพื่อใช้ทดแทนสารเคมีแก่อุตสาหกรรมผักผลไม้ส่งออกและอุตสาหกรรมอาหารแช่แข็ง ในแต่ละกลุ่ม กลุ่มละ 5 ราย
- ถ่ายทอดวิธีการตรวจคัดเลือกพันธุ์ลูกกุ้งโดยวิธี "ชริมพ์ไบโอเทค" (Shrimp Biotech PL quality examination) แก่โรงเพาะพันธุ์ลูกกุ้ง 3 ราย บ่อเพาะเลี้ยงกุ้ง 3 ราย
- ถ่ายทอดนาโนเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมสิ่งทอ 10 ราย


ผลการดำเนินงานให้คำปรึกษาแนะนำเชิงลึกและถ่ายทอดเทคโนโลยีชีวภาพนาโนเทคโนโลยี :

- ถ่ายทอดวิธีการและการใช้สารสกัดออกฤทธิ์จากตำหรับสมุนไพรต้านเชื้อแบคทีเรียเพื่อใช้ทดแทนสารเคมีแก่อุตสาหกรรมผักผลไม้ส่งออกและอุตสาหกรรมอาหารแช่แข็ง แก่วิสาหกิจ 10 ราย

ผลลัพธ์ : ลดการใช้เคมีภัณฑ์ในอุตสาหกรรมผักผลไม้ส่งออกในตลาดโดยเฉพาะตลาด EU (Value for Money ในรูปของการลดต้นทุนค่าเคมีภัณฑ์)
- ลดข้อจำกัดการกีดกันทางการค้าในด้านการใช้เคมีภัณฑ์และการปนเปื้อนสารเคมีจากการล้างผักและผลไม้เพื่อการส่งออก (Value for Money ในรูปของการไม่ถูกตีคืนสินค้า)
-สร้างโอกาสในการพัฒนาธุรกิจและผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สนับสนุนอุตสาหกรรมอาหาร (Value for Money ในรูปของการเกิดธุรกิจใหม่ที่ใช้ทรัพยากรจากภาคเกษตร ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ)

สรุป : งบประมาณที่ใช้ไปทั้งสิ้น 1,700.000.00 บาท สามารถสร้าง Value for Money ในรูปของการไม่ถูกปฏิเสธหรือตีคืนสินค้าและมีโอกาสเกิดธุรกิจใหม่ที่ใช้ตำหรับภูมิปัญญาไทยสร้างผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเพื่อทดแทนสารเคมีซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่เกี่ยวเนื่องต่อการใช้ทรัพยากรจากภาคเกษตรในระดับ ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ จึงมีมูลค่าสูงกว่าการลงทุนในโครงการฯ


- ถ่ายทอดวิธีการตรวจคัดเลือกพันธุ์ลูกกุ้งโดยวิธี "ชริมพ์ไบโอเทค" (Shrimp Biotech PL quality examination) แก่โรงเพาะพันธุ์ลูกกุ้งและบ่อเพาะเลี้ยงกุ้งรวม 5 ราย

ผลลัพธ์ :
มีกระบวนการตรวจคุณภาพและความสมบูรณ์ของลูกกุ้งที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
- อัตราการเจริญเติบโตจาก นน.เฉลี่ยและความสม่ำเสมอขนาดกุ้งที่เลี้ยงดีกว่า
- ลดระยะเวลาที่ใช้ในการเลี้ยงในแต่ละรอบได้มากกว่า 20 วัน (การเลี้ยงกุ้งได้ขนาด 38 ตัว/กก. ที่ผ่านกระบวนการตรวจแบบ Shimp Biotech ใช้เวลาเลี้ยงเฉลี่ย 130 วัน และที่ไม่ผ่านกระบวนการตรวจแบบ Shimp Biotech ใช้เวลาเลี้ยงเฉลี่ย 150-180 วัน)

สรุป :
การถ่ายทอดเทคโนโลยีชีวภาพ "ชริมพ์ไบโอเทค" (Shrimp Biotech PL quality examination) ได้รับงบประมาณดำเนินการทั้งสิ้น 850,000.00 บาท สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มในรูปของการลดระยะเวลาในการเลี้ยงได้ไม่น้อยกว่า 20 วัน ส่งผลให้
- ลดต้นทุนการให้อาหารลดลง (ราคาอาหาร x จำนวน กก. x 20 วัน x จำนวนบ่อเลี้ยง = Value for Money)

- ลดค่าพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในการปรับคุณภาพน้ำในบ่อเลี้ยงลง ( กำลังไฟฟ้า x ราคาต่อหน่วย x เวลา = Value for Money) ผลการดำเนินงานโครงการเปรียบเทียบกับเงินงบประมาณที่ได้รับจากการคำนวณข้างต้นจึงมีความคุ้มค่ากว่า


- ถ่ายทอดนาโนเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมสิ่งทอ จำนวน 10 ราย ในเรื่อง
- การประยุกต์ใช้อนุภาคแคปซูลบรรจุสารสกัดจากรำข้าว
- การใช้ซิงก์ออกไซด์ตกแต่งสำเร็จบนสิ่งทอ MULTI FUNCTION FABRIC

- การใช้สารไคโตซานเพื่อการยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย และตกแต่งผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป
- การพัฒนาเส้นด้ายปรับอุณหภูมิและมีคุณสมบัติยับยั้งการเจริญเติบโตของ Bacterial

ผลลัพธ์ : กลุ่มผู้เข้าร่วมโครงการได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีฯ และ 3 ใน 10 รายที่เข้าร่วมโครงการ มองเห็นช่องทางและโอกาสในการพัฒนาธุรกิจและเริ่มดำเนินการขยายการลงทุน

สรุป : การถ่ายทอดนาโนเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมสิ่งทอได้รับเงินงบประมาณดำเนินการทั้งสิ้น 1,700,000.00 บาท กิจกรรมมีผลต่อการสร้างมูลค่าเพิ่มในด้านการมองเห็นโอกาสในการพัฒนาธุรกิจและเริ่มขยายการลงทุนในวงเงิน 3,100,000.00 บาท ซึ่งมากกว่างบประมาณที่ดำเนินการ

วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

มองกรมฯ อย่างกลม

มองกรมฯ อย่างกลม

ตอนที่ 1 : การสร้างบทบาทและพื้นที่ดำเนินการใหม่บนแผนที่ยุทศาสตร์ชาติอย่างสง่างาม

จากภารกิจหลักของกรมฯ ที่ดำเนินการส่งเสริมอุตสาหกรรมด้านการเพิ่มผลิตภาพ (Productity) การบริหารจัดการและการสร้างผู้ประกอบการ เป็นหลักยังไม่เพียงพอที่จะสนองตอบต่อภาคอุตสาหกรรมได้ครบถ้วน และนับวันบทบาทและภารกิจของกรมฯ ที่ได้ดำเนินสืบทอดต่อกันมาอย่างยาวนานจะลดลำดับความสำคัญ (ในมุมมองของผู้ประกอบธุรกิจอุตสาหกรรม) จากแผนที่ยุทธศาสตร์ เนื่องจากมีหน่วยงานทางเลือกที่จะใช้บริการจากหน่วยงานอื่นๆ ได้ทั้งที่เป็นสถาบันอิสระ หน่วยงานภายใต้กำกับของรัฐ และหน่วยงานรัฐด้วยกันเอง ที่สร้างบทบาทและรุกพื้นที่การทำงานบนยุทศาสตร์ของชาติได้เทียบเท่าหรือเหนือกว่า หากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ยังนิ่งไม่คิดขยับปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานก็รังแต่จะลดคุณค่าในตัวเองลงไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้ตัว แล้วผู้มีส่วนได้เสีย (Stake holder ) ทั้งหลายไม่ช่วยกันแสวงหาหนทางเพิ่มคุณค่าให้องค์กรหรือ?

บทสรุปผลการศึกษาเพื่อจัดทำรูปแบบ (Model) การถ่ายทอดเทคโนโลยีอุตสาหกรรมแห่งอนาคตเพื่อนำไปปฏิบัติเชิงพาณิชย์
พัฒนาการของเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) และนาโนเทคโนโลยี (Nanotechnology) จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างมากมายมหาศาล และทำให้ให้เกิดการประยุกต์ใช้ในอย่างกว้างขวางในหลายสาขาอุตสาหกรรมและกิจกรรม รวมทั้งการเกิดธุรกิจใหม่ และจะมีผลอย่างมากต่อความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมต่างๆ รวมทั้งอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในบางอุตสาหกรรมได้
สำนักพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้ตระหนักว่าการพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพและนาโนเทคโนโลยีของประเทศไทยยังมีอยู่อย่างจำกัดเมื่อเทียบกับประเทศที่ก้าวหน้าทางอุตสาหกรรม และในประเทศไทยยังมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวอย่างจำกัดมาก จึงจัดทำโครงการศึกษานี้เพื่อจัดทำรูปแบบ (Model) การถ่ายทอดเทคโนโลยีชีวภาพและนาโนเทคโนโลยีสู่อุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อนำไปปฏิบัติเชิงพาณิชย์ ทั้งนี้โดยโครงการนี้ครอบคลุมรวมถึงการจัดทำโครงการนำร่อง (Pilot Project) การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการสร้างฐานข้อมูลเชื่อมโยงกับหน่วยงานเครือข่ายในการเอื้อประโยชน์ต่อวิสาหกิจในการเสาะหาข้อมูลความรู้ รวมทั้งเพื่อเสนอแนะยุทธศาสตร์การพัฒนาเทคโนโลยีและแนวทางการพัฒนาความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนอย่างบูรณาการเป็นระบบเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมให้มีประสิทธิภาพการผลิต มีสมรรถนะทางเทคโนโลยีและความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น
เทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่ “New Biotechnology” ซึ่งอันที่จริงหมายถึงกลุ่มของเทคโนโลยีที่ใช้ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิต (Organisms) หรือส่วนหนึ่งหรือสิ่งผลิตของสิ่งมีชีวิต หรือข้อมูลทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตในเชิงอุตสาหกรรมเพื่อการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจหรือเพื่อการประยุกต์ใช้ในด้านต่างๆ โดยอาศัยเทคนิคทางด้านพันธุกรรมศาสตร์ (Genetic Engineering) การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีชีวภาพเป็นไปอย่างกว้างขวางในหลายสาขาอุตสาหกรรมและกิจกรรม เช่น เกษตรกรรม ปศุสัตว์ อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมสิ่งทอ อุตสาหกรรมยา เวชภัณฑ์และเคมีภัณฑ์ การแพทย์ พลังงาน เหมืองแร่ ป่าไม้ ทรัพยากรทะเล และจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ในปัจจุบันเทคโนโลยีชีวภาพมีพัฒนาการอย่างรวดเร็ว สามารถยกระดับความเป็นอยู่ของมนุษย์ และมีผลอย่างมากต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม

สำหรับ “นาโนเทคโนโลยี” นั้น หมายถึง การวิจัยและพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในระดับอะตอมหรือโมเลกุล ซึ่งมีขนาดตั้งแต่ 1-100 นาโนเมตร (10-9m หรือ หนึ่งในพันล้านส่วนของ 1 เมตร) ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมาได้มีความก้าวหน้าในการสร้างสารและสิ่งประดิษฐ์ต่างๆในระดับนาโนเมตรขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเทคโนโลยีมากมายหลายประเภทที่มีอยู่ในปัจจุบัน นาโนเทคโนโลยี สามารถประยุกต์ใช้ได้ในกิจกรรมและอุตสาหกรรมหลายสาขา ตั้งแต่เทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีวัสดุ พลังงาน เคมี สิ่งทอ ยาและการแพทย์ จนถึงการจัดการสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ทั้งเทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่และนาโนเทคโนโลยี เป็น Science-based Technologies ที่ต้องอาศัยกิจกรรมวิจัยและพัฒนา (R&D) เป็นหลัก สถาบันวิจัยและสถาบันการศึกษาจึงมีบทบาทค่อนข้างสูงในการพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ในเรื่องการพัฒนาเทคโนโลยีและใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ ปรากฏว่าที่มีบทบาทสูงอย่างแท้จริงคือภาคธุรกิจ ดังปรากฏว่า ในประเทศที่มีความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรม บริษัทขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัทข้ามชาติ นอกจากมีกิจกรรมวิจัยและพัฒนาภายในบริษัทเองแล้ว ยังมีการว่าจ้างสถาบันวิจัยและสถาบันการศึกษาทำการวิจัยเฉพาะด้านในเชิงลึก มากกว่าการนำผลงานวิจัยสำเร็จรูปที่มีอยู่แล้วจากสถาบันวิจัยและสถาบัน การศึกษามาใช้ประโยชน์โดยตรง
สถาบันวิจัยและสถาบันการศึกษาในประเทศอุตสาหกรรม ได้ช่วยให้เกิดบริษัทขนาดเล็กที่มีความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยี dedicated technology enterprises (DTEs) ที่ spin-off จากสถาบันวิจัยและสถาบันการศึกษา แต่ส่วนใหญ่ DTEs ที่อยู่รอดไม่สูญสิ้นธุรกิจไปก่อน มักลงเอยกลายเป็นผู้รับจ้างบริษัทใหญ่หรือบริษัทข้ามชาติทำงานวิจัยและพัฒนา หรือถูกซื้อไป หรือควบรวม ส่วนด้านนาโนเทคโนโลยี ซึ่งมีพัฒนาการอย่างจริงจังในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ปรากฏว่า DTEs ส่วนใหญ่ยังคงเป็นธุรกิจขนาดเล็กที่มีดวามเชี่ยวชาญเทคโนโลยีเฉพาะด้าน คือเป็น specialists ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งในช่วง 20 ปีที่ผ่านมามีการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว บริษัทข้ามชาติต่าง ๆ เริ่มหันหน้าเข้าหากันโดยร่วมมือกันในกิจกรรมบางด้านเพื่อ อาศัยประโยชน์ซึ่งกันและกัน เป็นพันธมิตรกันโดยมีความร่วมมือระหว่างกัน แต่เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ดีขึ้น (co-operative competition) โดยบางครั้งก็เป็นการร่วมมือระหว่างบริษัทข้ามชาติเพียงไม่กี่บริษัทในประเทศในการร่วมพัฒนาเทคโนโลยี บางครั้งรัฐบาลหรือหน่วยงานของภาครัฐก็มีบทบาทเป็นแกนนำ บางครั้งก็เป็นความร่วมมือด้านการวิจัยกับสถาบันวิจัยหรือสถาบันการศึกษา บางครั้งก็เป็นการร่วมมือระหว่างประเทศ ตลอดจนการที่บริษัทบางแห่งเข้าถือหุ้นในอีกบริษัทหรือเข้ายึดกิจการของบริษัทขนาดย่อมบางแห่ง เช่น DTEs ที่กล่าวแล้ว เพื่อให้ได้มาซึ่งเทคโนโลยีบางด้าน
การเกิดขึ้นของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีอุบัติใหม่ (emerging technologies) ใน ประเทศพัฒนาแล้วนั้นมีความหลากหลาย และโดยมีสภาวะแวดล้อมในประเทศที่เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ รวมทั้งการพัฒนางานวิจัยผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีกระบวนการผลิต และมีโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการเข้ามาและออกจากธุรกิจ เช่น ที่ปรึกษาทางธุรกิจ ระบบกฎหมายและการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ตลาดทุนสำหรับธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ เป็นต้น สำหรับในประเทศไทย แม้ภาครัฐและเอกชนลงทุนวิจัยและพัฒนามากขึ้น และมีการสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงระหว่างสถาบันวิจัย มหาวิทยาลัย อุตสาหกรรม และชุมชนอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น หากแต่งานวิจัยและพัฒนาที่นำไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างจริงจังยังอยู่ในวงจำกัด ในประเทศไทย รูปแบบธุรกิจที่เป็น Research-Technology Push ที่เกิดขึ้นจากการนำเอาผลงานวิจัยจากสถาบันวิจัย หรือของอาจารย์ในมหาวิทยาลัยไปใช้ในเชิงพาณิชย์ โดยธุรกิจเอกชนซื้อผลงานวิจัย และดำเนินการพัฒนาต่อยอดผลงานวิจัยดังกล่าวเองทั้งหมด มีน้อยมาก เพราะจุดอ่อนที่สำคัญในกระบวนการพัฒนานวัตกรรมของประเทศไทยคือ งานวิจัยจากสถาบันวิจัยและมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ส่วนการที่สถาบันวิจัย/มหาวิทยาลัยนำเอาหน่วยปฏิบัติการวิจัยหรือผลงานวิจัย spin-off มาจัดตั้งเป็นหน่วยธุรกิจเพื่อดำเนินการในเชิงพาณิชย์เอง ก็มีข้อจำกัดสำคัญคือนักวิชาการไม่มีคุณสมบัติและประสบการณ์ในการทำธุรกิจการ spin-off จากธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมในการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา และมองหาธุรกิจใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีอุบัติใหม่มีไม่มากในประเทศไทย รูปแบบธุรกิจมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นมากในประเทศไทย คือ การจัดตั้งธุรกิจใหม่โดยธุรกิจ(ขนาดกลาง)ที่มีอยู่เดิม เนื่องจากมีแรงจูงใจหลักมาจากแรงกดดันจากการแข่งขันจากต่างประเทศ ทำให้ต้องหันมาหาตลาดใหม่ และใช้นวัตกรรมทางเทคโนโลยีในการสร้างความแตกต่างให้กับตัวผลิตภัณฑ์ โดยนำเข้าหรือประยุกต์ใช้เทคโนโลยีหรือผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม มีผู้ประกอบการบางส่วนเริ่มมีการทำวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยและศูนย์แห่งชาติเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนเอง รวมทั้งร่วมกับบรรษัทข้ามชาติ หรือธุรกิจจากต่างประเทศในการนำเอาเทคโนโลยีและเครือข่ายทางธุรกิจมาใช้ในการพัฒนาธุรกิจใหม่ขึ้นมา อีกรูปแบบธุรกิจที่มีความเป็นไปได้คือ การจัดตั้งธุรกิจใหม่ start-up (โดยทั่วไปเป็นขนาดเล็ก)ที่ดำเนินการโดยผู้ประกอบการที่มีความสนใจในธุรกิจเทคโนโลยีอุบัติใหม่ โดยอาศัยความชำนาญเฉพาะทาง (specialization) ลักษณะของตลาดโดยทั่วไปจะเป็นตลาดแบบเฉพาะเจาะจง (niche market) โดยต้องมีการระดมทุนและการเสาะหาเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่

โอกาสในการพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีชีวภาพและนาโนเทคโนโลยีในประเทศไทยมีมากและหลากหลาย เช่น
· การพัฒนาพ่อแม่พันธุ์กุ้ง
· การตรวจวินิจฉัยโรคและการผลิตวัคซีนเพื่อป้องกันโรคในกุ้ง
· การปรับปรุงและพัฒนาพันธุ์พืชให้มีคุณสมบัติด้านต่างๆ ดีขึ้น และทนต่อโรค
· การผลิตโพลี/โมโนโคลนอลแอนติบอดี ในการตรวจสอบไวรัสพืช
· การผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์และเอ็นไซม์สำหรับการหมักอาหาร ปุ๋ยชีวภาพ สารชีวภาพ
· การวิจัยและพัฒนาน้ำยาตรวจจับไวรัสไข้หวัดนก H5N1
· การใช้สมุนไพรเพื่อพัฒนาเป็นยา
· การวิจัยและพัฒนาด้านสเต็มเซลล์ (stem cell) เพื่อรักษาโรคทางพันธุกรรม
· การประยุกต์ใช้นาโนเทคโนโลยีเพื่อยืดอายุการเก็บรักษาผลผลิตทางการเกษตรให้สดนานขึ้น
· การใช้นาโนเทคโนโลยีพัฒนาอปุกรณ์เพื่อตรวจวัดคุณสมบัติของผักและผลไม้เพื่อการจำหน่าย
· การใช้นาโนเทคโนโลยีสำหรับสกัดสารธรรมชาติเพื่อการทำเครื่องสำอางค์
· การพัฒนาสิ่งทอที่มีสมบัติพิเศษเฉพาะตามวัตถุประสงค์การใช้งาน

อย่างไรก็ตาม จากการไปสำรวจศึกษาธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีชีวภาพและนาโนเทคโนโลยี และจากการประชุมระดมความคิดกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ สถาบันเฉพาะทาง สถาบันการศึกษา และธุรกิจเอกชนที่เกี่ยวข้อง พบปัญหาที่ผู้ประกอบการประสบ ดังนี้
· ขาดความรู้ความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับเทคโนโลยี และประเด็นท้าทายของธุรกิจเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง
· ขาดความสามารถและประสบการณ์ในการบริหารจัดการธุรกิจ และการพัฒนาธุรกิจ
· ขาดเงินทุนและทรัพยากรที่จำเป็นต่อการทำงานวิจัยและพัฒนา
· ขาดช่องทางที่จะเข้าถึงเทคโนโลยีระดับแนวหน้าทั้งด้านผลิตภัณฑ์กระบวนการผลิตและบริการที่เกี่ยว
ข้อง
· ขาดช่องทางที่จะเข้าถึงและสร้างพันธมิตรและความร่วมมือทางเทคโนโลยี ธุรกิจ และการตลาดใน
ระดับระหว่างประเทศ
· นักลงทุนและแหล่งทุนที่จะสนับสนุนมีจำกัด และส่วนใหญ่ขาดความเข้าใจในเทคโนโลยีและธุรกิจใหม่นี้
· โครงสร้างพื้นฐานทางนวัตกรรม และสภาพแวดล้อมทางนโยบายและการสนับสนุนจากภาครัฐยังไม่เอื้อ
อำนวย

จากการศึกษาเปรียบเทียบกับประเทศที่มีระดับการพัฒนาเทคโนโลยีที่สูงพบว่ายุทธศาสตร์และแนวนโยบายการพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมของไทยมีข้อแตกต่างที่จัดเป็นปัญหาที่สำคัญ คือ
· ประเทศไทยนอกจากมีการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาน้อยมากเมื่อเทียบเป็นสัดส่วนของมวลรวมผลผลิตประชาชาติแล้ว ยังไม่มีการส่งเสริมการพัฒนาสมรรถนะทางเทคโนโลยีในภาคการผลิตโดยตรงอย่างจริงจัง (นอกจากความช่วยเหลือเล็กน้อยในการสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนา) แต่มุ่งเน้นการเสริมสร้างงานวิจัยและพัฒนาในภาครัฐนอกภาคการผลิต ส่งผลให้ภาคเอกชนของไทยมีการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนารวมทั้งการพัฒนาความสามารถอื่นอันจำเป็นต่อการพัฒนาสมรรถนะทางเทคโนโลยีและธุรกิจอุตสาหกรรมน้อยมาก
· ประเทศที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมใช้ประโยชน์จากการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาสมรรถนะทางเทคโนโลยี โดยมีกระบวนการทั้งในภาคธุรกิจและภาครัฐในการสร้างกลไกและองค์กรที่จะเสาะหา ดูดซับ และเรียนรู้เทคโนโลยีจากต่างประเทศอย่างจริงจังควบคู่ไปกับการลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศ ในขณะที่ในประเทศไทย รัฐก็มิได้มีเครื่องมือทางนโยบายอันใดที่ช่วยเกื้อหนุนให้อุตสาหกรรมใช้ประโยชน์จากการนำเข้าเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาขีดความสามารถทางเทคโนโลยีในระยะยาว และการส่งเสริมการลงทุนของไทยมิได้มุ่งเน้นการถ่ายทอดเทคโนโลยีเป็นประเด็นหลัก การลงทุนจากต่างประเทศเป็นเพียงการใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการส่งออกทางอ้อมสู่ตลาดโลก
· การแข่งขันเป็นแรงกระตุ้นสำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดนวัตกรรม รัฐบาลของประเทศที่ก้าวหน้า ไม่เพียงแต่เกื้อหนุนการพัฒนาเทคโนโลยีในภาคการผลิต แต่แทรกแซงอย่างมากในการสร้างความต้องการในการยกระดับเทคโนโลยีในภาคการผลิตเพื่อเตรียมตัวเพื่อไปแข่งขันในตลาดโลก ทำให้ภาคอุตสาหกรรมต้องตื่นตัวและพัฒนาเทคโนโลยีอยู่เสมอ และนี่คือข้อแตกต่างที่สำคัญยิ่งอีกประการหนึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศไทยที่การส่งเสริมอุตสาหกรรมโดยภาครัฐมิได้ให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ ในลักษณะแลกเปลี่ยนกับการที่ธุรกิจมีประสิทธิภาพสูงขึ้นหรือขยายสู่การแข่งขันในระดับโลกได้ยิ่งขึ้นเป็นรางวัล แต่เน้นการช่วยเหลือในการลดภาระค่าใช้จ่ายในการซื้อเครื่องจักรอุปกรณ์มากกว่าด้านเทคโนโลยีในเชิงความรู้ ดังนั้น เมื่อรัฐไม่สร้างแรงกดดันในการแข่งขันและไม่มีมาตรการจริงจังที่เน้นในเรื่องความรู้ การใช้ประโยชน์จากการนำเข้าเทคโนโลยีเพื่อเป็นฐานการพัฒนาเทคโนโลยีต่อไปในประเทศไทยจึงไม่เกิดขึ้น
· ในประเทศที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและอุตสาหกรรม สถาบันวิจัยภาครัฐมีบทบาท "สนับสนุน" การพัฒนาเทคโนโลยีของเอกชน (ไม่ใช่ทำหน้าที่พัฒนาเทคโนโลยีแทนภาคอุตสาหกรรมดังที่เป็นอยู่ในประเทศไทย) ความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับภาคอุตสาหกรรมมีการประสานงานกันจากทั้งสองทางมากกว่าจะเป็นการสื่อสารทางเดียวจากหน่วยงานภาครัฐไปสู่ภาคเอกชน และภาคอุตสาหกรรมมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้หน่วยงานภาครัฐดำเนินการวิจัยหรือกิจกรรมทางเทคโนโลยีตามที่ภาคอุตสาหกรรมต้องการ และองค์กรภาครัฐมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาให้สอดคล้องกับความต้องการที่แตกต่างกันไปในแต่ละอุตสาหกรรมและแต่ละช่วงเวลาของการพัฒนาอุตสาหกรรม และไม่จำกัดหน้าที่อยู่เพียงการวิจัยและพัฒนาดังที่เป็นอยู่ในประเทศไทย แต่มีนวัตกรรมในการสร้างองค์กรใหม่ ๆ เพื่อผนึกกำลังกันในการกระตุ้น และผลักดันให้ธุรกิจเอกชนยกระดับขีดความสามารถทางเทคโนโลยี นอกจากนี้ การเคลื่อนย้ายบุคลากรจากสถาบันวิจัยไปสู่ภาคเอกชน (ซึ่งจัดเป็นภารกิจที่สำคัญของสถาบัน) เป็นกลไกการถ่ายทอดและแพร่กระจายเทคโนโลยีที่ดีมาก และช่วยให้งานวิจัยถูกนำไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ได้
· ในประเทศเหล่านี้ รัฐมีมาตรการส่งเสริมธุรกิจเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมอย่างมากมายและในขอบเขตที่กว้างขวาง เช่น การให้เงินทุนให้เปล่าในการวิจัยและพัฒนา การให้ทุนอุดหนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ การตั้งและสนับสนุนให้จัดตั้งกองทุน Venture Capital Fund การให้บริการด้านคำปรึกษาและความช่วยเหลือทางเทคโนโลยีและการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยี และความช่วยเหลือแก่ธุรกิจเอกชนในการเสาะหาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ในการเชื่อมโยงกับบริษัทข้ามชาติเพื่อการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยี และการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ตลอดจนการสนับสนุนการฝึกอบรมและการจัดตั้งสถาบันฝึกอบรมทางเทคโนโลยีต่างๆมากมาย
· ประการสุดท้ายคือ การพัฒนากำลังคน ประเทศทุกประเทศที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจล้วนได้เน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์มาเป็นเวลาหลายทศวรรษ การลงทุนด้านการศึกษาและการผลิตบุคลากรระดับสูงเป็นจำนวนมากเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยพัฒนาทรัพยากรบุคคลของประเทศให้มีคุณภาพและมีความพร้อมที่จะเรียนรู้เทคโนโลยี ทำให้สามารถยกระดับขีดความสามารถทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว และทำให้สามารถพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างก้าวกระโดด และในปัจจุบันประเทศเหล่านั้นกำลังเร่งรัดการพัฒนากำลังคนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในระดับสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีชีวภาพและนาโนเทคโนโลยี เพื่อรองรับการแข่งขันทางอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีในอนาคต

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมในฐานะหน่วยงานที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับภาคอุตสาหกรรมจึงควรจะเข้าไปสนับสนุนการดำเนินมาตรการของภาครัฐในการส่งเสริมให้เกิดธุรกิจเทคโนโลยีใหม่ในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจและตัวผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเป็นหลัก เพื่อทำให้ผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมเกิดความตระหนักถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอนาคตที่สำคัญ และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งเตรียมความพร้อมให้กับผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมให้สามารถมองหาโอกาส และพัฒนาธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีอุบัติใหม่เป็นฐานในการสร้างอุตสาหกรรมใหม่สำหรับประเทศไทย ทั้งนี้โดย สามารถดำเนินการดังนี้

มาตรการระยะใกล้ (ปัจจุบันถึง 3-5 ปี) ที่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมควรดำเนินการ
ใช้รูปแบบ (model) แนวทางการถ่ายทอดเทคโนโลยีอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (ดังรายละเอียดในรายงาน) ที่ครอบคลุม 2 ระยะของการพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีใหม่ ได้แก่ Founding Stage (ผู้ประกอบการมองเห็นถึงโอกาสทางธุรกิจและเริ่มพัฒนาแนวคิดทางธุรกิจ) และ Startup Stage (ผู้ประกอบการพัฒนาแผนธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรมจากแนวคิดทางธุรกิจ พัฒนาผลิตภัณฑ์หรือกระบวนการต้นแบบ ทดสอบตลาดเบื้องต้นและเสาะหาแหล่งเงินทุนเบื้องต้น) โดยใช้ระยะเวลาดำเนินการรวมทั้งสิ้น 12 เดือนต่อโปรแกรม ในการช่วยธุรกิจ (1) พัฒนาแนวคิดและโอกาสทางธุรกิจ (2) พัฒนาแผนธุรกิจ และ (3) พัฒนาผลิตภัณฑ์และเริ่มต้นธุรกิจ โดย
· จัดอบรมโปรแกรม IDEA (Innovation Development and Enterprise Advancement) ให้กับธุรกิจที่เข้าร่วมโครงการโดยอาศัยที่ปรึกษาซึ่งที่เป็นนักธุรกิจที่มีประสบการณ์เข้ามาเป็นที่ปรึกษาเพื่อชี้แนะแนวทางการสร้างธุรกิจใหม่ใน 4 ด้านหลัก ได้แก่
- การจัดการเทคโนโลยี ประกอบด้วย การจัดการกระบวนการและโครงการวิจัยและพัฒนา การจัดการทรัพย์สินทางปัญญา การถ่ายทอดเทคโนโลยีและการขอถือสิทธิ์ทางเทคโนโลยี และการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ
- การพัฒนากลยุทธ์ทางธุรกิจและการจัดการธุรกิจ
- การตลาดสำหรับธุรกิจเทคโนโลยีใหม่
- การจัดการทางการเงิน

· สนับสนุนการจัด forum และการศึกษาดูงานที่เกี่ยวข้อง
· พัฒนาและจัดทำแผนธุรกิจ
· ประสานงานกับแหล่งทุนเพื่อสนับสนุนการดำเนินการ
· ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆและจัดหาผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยี

มาตรการระยะกลาง (ปัจจุบันถึง 5-10 ปี) ที่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมควรดำเนินการ
1. จัดหาและสร้าง pool ของผู้เชี่ยวชาญทางธุรกิจและเทคโนโลยีมาเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทที่เข้าร่วมโปรแกรมการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจใหม่ พร้อมกับพัฒนาระบบที่ปรึกษาอุตสาหกรรมเพื่อสนับสนุนการขยายผลต่อไปในอนาคต
2. ประสานงานกับหน่วยงานส่งเสริมด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม การตลาดและธุรกิจ เพื่อทำให้เกิดการพัฒนาแนวคิดทางธุรกิจของผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีใหม่ รวมทั้งการสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจในอนาคต
3. ดำเนินมาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีใหม่ เพื่อทำการสำรวจและเสาะหาข้อมูลตลาดและโอกาสทางการตลาด เช่น การดูงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ การจัดแสดงความรู้และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี
4. สนับสนุนให้หน่วยงานหรือองค์กรที่มีบทบาทหลักในการสนับสนุนการพัฒนาวิสาหกิจหรือองค์กรที่เป็นตัวคูณในการสร้างธุรกิจเทคโนโลยีใหม่ เช่น สมาคมธุรกิจผลิตภัณฑ์และการค้า กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม เป็นต้น
5. จัดทำและพัฒนาระบบฐานข้อมูลอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นแหล่งข้อมูลพื้นฐานสนับสนุนการถ่ายทอดเทคโนโลยีในเชิงพาณิชย์

มาตรการระยะกลาง (ปัจจุบันถึง 5-10 ปี) ที่ภาครัฐควรดำเนินการ

1. ภาครัฐควรจัดสรรทรัพยากรและงบประมาณที่เหมาะสมอย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับหน่วยงานวิจัยในภาครัฐและสถาบันการศึกษา และส่งเสริมหรือรณรงค์ให้เกิดความต้องการของตลาดผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีอุบัติใหม่ในประเทศ
2. รณรงค์ให้ภาคเอกชนมีการตื่นตัวและสนใจลงทุนพัฒนาและ/หรือประยุกต์ใช้เทคโนโลยี ชีวภาพและนาโนเทคโนโลยีมากขึ้น เพื่อสนับสนุนให้มีบริษัทธุรกิจเทคโนโลยีสมัยใหม่เกิดมากขึ้น ทั้งที่เป็นธุรกิจขนาดเล็กที่เริ่มตั้ง (start-up) และธุรกิจที่ขยายจากธุรกิจที่มีอยู่แล้วทั้งธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่
3. ภาครัฐควรจัดทำมาตรการเพื่อพัฒนาความสามารถในการประกอบการในธุรกิจเทคโนโลยีใหม่ โดยเฉพาะการสร้างผู้ประกอบการใหม่ การจัดการนวัตกรรมและการถ่ายทอดเทคโนโลยี
4. ภาครัฐควรสนับสนุนให้เกิดรูปแบบธุรกิจที่มีแรงผลักดันมาจากภาคอุตสาหกรรมโดยการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับองค์กรที่จะเข้าธุรกิจเทคโนโลยีใหม่
5. ภาครัฐและภาคเอกชนควรร่วมกันพัฒนากลไกสนับสนุนด้านเงินทุน เช่น กองทุนส่งเสริมธุรกิจใหม่ กองทุนร่วมทุนของภาคเอกชน (Venture Capital หรือ Private Equity Fund) และการสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจและเทคโนโลยี (Strategic Alliance and Networking)
6. พัฒนาระบบรับรองมาตรฐานและการทดสอบผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีชีวภาพและนาโนเทคโนโลยีมาใช้ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อการส่งเสริมการลงทุนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ และการคุ้มครองผู้บริโภคสำหรับการจำหน่ายในประเทศ และการให้การรับรองสำหรับการส่งออก
7. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับกฎระเบียบและกฎหมายที่มีอยู่ เช่น การรับรองมาตรฐาน การโฆษณาและทำตลาดในประเทศ การนำเข้าอุปกรณ์และเครื่องมือสำหรับงานวิจัยกับการผลิตจำเป็นต้องได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัย เพื่อรองรับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีชีวภาพและนาโนเทคโนโลยีกับธุรกิจที่กำลังเพิ่มมากขึ้นในอนาคต
8. จัดให้เครื่องมือชั้นสูงให้ธุรกิจเช่า การให้ทุนประเดิม การให้คำปรึกษาทั้งทางด้านเทคนิคการจัดการ การฝึกอบรม งานบริการ เช่น การจดสิทธิบัตร และการเข้าถึงฐานข้อมูลผู้เชี่ยวชาญและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี รวมทั้งการจัดให้เกิดการรวมกลุ่มอุตสาหกรรม เป็นต้น

ข้อเสนอแนะทางยุทธศาสตร์

1. นโยบายเศรษฐกิจ นโยบายอุตสาหกรรม และนโยบายด้านการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะต้องสอดคล้องประสานกันในทิศทางเดียวกันที่มุ่งสร้างความเข้มแข็งของภาคอุตสาหกรรมในระยะยาวและมุ่งเน้นให้ธุรกิจอุตสาหกรรมก้าวกระโดดทางเทคโนโลยี
2. รัฐจะต้องทบทวนการส่งเสริมการลงทุนจากการอุดหนุนการลงทุนทางกายภาพ (Physical Capital) มาเป็นการอุดหนุนการลงทุนทางความรู้ (Knowledge Capital) และเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาสมรรถนะทางเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมของประเทศ
3. นโยบายพัฒนาเทคโนโลยีต้องมุ่งเน้นการพัฒนาสมรรถนะทางเทคโนโลยีในภาคการผลิตโดยตรงอย่างจริงจัง มากกว่าเพียงการเสริมสร้างงานวิจัยและพัฒนาในภาครัฐนอกภาคการผลิต และการสนับสนุนต้องมีขอบข่ายกว้างขวางกว่าการ “วิจัยและพัฒนา (R&D)” และจะต้องมุ่งเน้นการพัฒนาความสามารถของภาคอุตสาหกรรมในการดูดซับเทคโนโลยีจากต่างประเทศและการพัฒนาขีดความสามารถด้านอื่นๆในลักษณะองค์รวม (Holistic)

ข้อเสนอแนะในทางปฏิบัติตามแนวยุทธศาสตร์/นโยบายใหม่: มาตรการระยะยาว (ปัจจุบันถึง 10-15ปี)

1. ทบทวนมาตรการทางด้านภาษี สิทธิประโยชน์และทุนอุดหนุน เพื่อการพัฒนาความสามารถทางเทคโนโลยีให้มีขอบข่ายกว้างขวางขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรเน้นการพัฒนา “ความสามารถในการออกแบบและวิศวกรรม” ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิต และครอบคลุมความสามารถอื่นในการดำเนินธุรกิจ เช่น การจัดการการผลิต การบริหารธุรกิจ การตลาดและการเงิน และทบทวนความเหมาะสมในการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีโดยกว้างขวางเทียบกับการให้ทุนอุดหนุนโดยเฉพาะโครงการ (ในลักษณะ “Pick Winners”) และการลงทุนเพื่อทำวิจัยและพัฒนาในภาคธุรกิจ ควรใช้รูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ การเกิดบริษัทร่วมทุน และการร่วมวิจัยกับทางหน่วยงานของรัฐ
2. สนับสนุนการเสาะหาและวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับตลาดหลักต่างๆ และแนวโน้มของการพัฒนาเทคโนโลยีและกฎกติกาการค้าสำหรับการกำหนดยุทธศาสตร์ทางธุรกิจทั้งระยะสั้นและระยะยาว พร้อมทั้งพิจารณาการให้ทุนอุดหนุนแก่ธุรกิจที่ต้องไปเปิดตลาดสำหรับสินค้าใหม่ในต่างประเทศหรือในตลาดใหม่
3. เปลี่ยนวิธีการส่งเสริมการลงทุนจากการอุดหนุนในด้านการลงทุนเครื่องจักรอุปกรณ์ (Physical Capital) มาเป็นการอุดหนุนในด้านการเรียนรู้และการถ่ายทอดเทคโนโลยี (Human and Knowledge Capital)
4. ส่งเสริมการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจและเทคโนโลยีระหว่างบริษัทไทยกับบรรษัทข้ามชาติในไทย และระหว่างบริษัทไทยกับธุรกิจในต่างประเทศ (รวมทั้งหน่วยงานพัฒนาเทคโนโลยีในต่างประเทศ) ทั้งนี้โดยมิใช่เพื่อประโยชน์ด้านทุนและตลาดโดยลำพัง แต่เพื่อการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการถ่ายเทบุคลากร
5. การวางแผนพัฒนาอุตสาหกรรมและเทคโนโลยียุทธศาสตร์ไม่เพียงแต่ต้องมี Steering Committees ที่จำเป็น แต่ต้องมีการพัฒนากระบวนการวางแผน และปฏิรูปองค์กร(Institutional Reform and Innovation) ในกรอบแนวคิดหรือกระบวนทัศน์ใหม่ (New Paradigm) ด้วย และหน่วยงานภาครัฐจะต้องมีการปรับเปลี่ยนองค์กร และวิธีการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพ
6. การสร้างกำลังคนด้านเทคโนโลยีชีวภาพและนาโนเทคโนโลยี ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพที่สอดรับกับความต้องการของตลาด โดยอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องทั้งสถาบันการศึกษา หน่วยงานวิจัย ตลอดจนภาพเอกชน รวมทั้งมาตรการจูงใจในการจ้างบุคลากรจากต่างประเทศ
7. ในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ของประเทศ เช่น ด้านอุตสาหกรรมอาหาร ควรมีความพยายามผลักดันให้มีสถาบันหรือหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำหนดทิศทางงานวิจัยและพัฒนาของประเทศ โดยอาศัยกลไกการให้ทุนวิจัย ความร่วมมือวิจัยและอื่นๆ รวมทั้งการจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนาเทคโนโลยีเฉพาะอุตสาหกรรมและ Clusters ที่เกี่ยวข้องโดยเป็นกองทุนร่วมของรัฐและเอกชนที่ธุรกิจสามารถขอรับการสนับสนุนเพื่อการวิจัยและการพัฒนาสมรรถนะทางเทคโนโลยีต่างๆ


ธวัชชัย มูลรังษี
ที่มา : บทสรุปผู้บริหารสรุปผลการศึกษาเพื่อจัดทำรูปแบบ (Model) การถ่ายทอดเทคโนโลยีอุตสาหกรรมแห่งอนาคตเพื่อนำไปปฏิบัติเชิงพาณิชย์