วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555


                   หลักการและเหตุผลของการจัดทำฐานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคเกษตร
          จากข้อมูลของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (2553) ที่ทำการประมาณการ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามคู่มือการจัดทำบัญชีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ IPCC ฉบับปรับปรุง ปี ค.ศ. 1996  (The Revised 1996 IPCC Guideline for National Greenhouse Gas Inventories) พบว่าภาคเกษตรของไทยที่มีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับสองรองจากภาค พลังงาน โดยในปี พ.ศ. 2553 ประเทศไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 229 ล้านตันก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า  ในจำนวนนี้เป็นการปล่อยจากภาคเกษตรประมาณ 52 ล้านตันก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือคิดเป็นร้อยละ 23 ซึ่งเป็นสัดส่วนการปล่อยก๊าซที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคการเกษตรของโลกซึ่งอยู่ที่ระดับร้อยละ 14  ก๊าซหลักที่ปล่อยในภาคเกษตรคือ  ก๊าซมีเทนและไนตรัสออกไซด์ ซึ่งมีแหล่งปล่อยที่สำคัญได้แก่  การหมักในระบบย่อยอาหารสัตว์ (Enteric fermentation)  การจัดการมูลสัตว์ (Manure management)  นาข้าว (Rice paddy)  ดินที่ใช้ในการเกษตร (Agriculture soil) และกลุ่มการเผาเศษวัสดุการเกษตรในที่โล่ง (Open Burning) นอกจากนี้มีการคาดการณ์ว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคเกษตรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามการเพิ่มปริมาณปัจจัยการผลิตและการเพิ่มของผลผลิต เช่นปุ๋ยและกำลังการผลิต ปริมาณปศุสัตว์ที่เพิ่มขึ้นตามความต้องการของอาหาร  โดยภาคเกษตรเป็นภาคเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย ในปี พ.ศ.2552 ภาคเกษตรมีค่า จีดีพี  คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 10.4 ของ  จีดีพีรวม และสัดส่วนแรงงานในภาคเกษตรคิดเป็นร้อยละ 43 ของแรงงานทั้งประเทศ นอกจากนี้ผลผลิตจากภาคเกษตรยังเป็นวัตถุดิบที่ป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมต่างๆในประเทศเป็นจำนวนมาก  จากแรงกดดันที่ต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตร ประเทศผู้นำเข้าสินค้าเกษตรได้นำมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่สนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาใช้ในเรื่องการค้าระหว่างประเทศ โดยเริ่มนำมาใช้อย่างเป็นรูปธรรม ได้แก่ คาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon footprint)  ฉลากคาร์บอน (Carbon label)  ประเทศไทยที่เป็นประเทศผู้ส่งออกสินค้าเกษตรระดับต้นๆ ของโลกจึงต้องเตรียมการปรับตัวเพื่อรองรับมาตรการดังกล่าว
          ด้วยนโยบายและมาตรการดังกล่าว จำเป็นที่จะต้องมีข้อมูลเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ ซึ่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับภาคเกษตรในปัจจุบันมีไม่เพียงพอ โดยเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายสินค้าที่จำเป็นสำหรับการวิเคราะห์เชิงเศรษฐกิจและให้ข้อมูลก๊าซเรือนกระจกภาคเกษตรมีความทันสมัย จึงควรจัดเก็บข้อมูลเพื่อเตรียมรับการปรับคำนวณข้อมูลก๊าซเรือนกระจกตาม 2006 IPCC Guideline ซึ่งเป็นคู่มือใหม่ที่มีความละเอียดสามารถสะท้อนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคเกษตรไทยได้ถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้น การเตรียมความพร้อมและการจัดทำฐานข้อมูลจึงมีความสำคัญย่างยิ่งทั้งในปัจจุบันและอนาคต
  ฐานข้อมูลก๊าซเรือนกระจกภาคเกษตร
ฐานข้อมูลก๊าซเรือนกระจกภาคเกษตร นำเสนอผลการศึกษาที่ได้ทบทวนวิธีการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคเกษตรตามคู่มือการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกฉบับใหม่ (2006 IPCC Guideline) และจัดทำฐานข้อมูลที่เป็น web-based วิธีการคำนวณ  ผลการคำนวณ และการเก็บข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก   ในกลุ่มปศุสัตว์  พื้นที่  และอื่นๆ โดยจัดทำข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกปรับให้อยู่ในหน่วยของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ในรายสินค้าภาคเกษตรตัวที่สำคัญๆ เช่น การปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อกิโลกรัมข้าวเปลือก อยู่ที่ 1-3 KgCO2e/kg grain   ยางพารา  200 gCO2e/kg น้ำยาง  อ้อย  30 KgCO2e/ตันอ้อย  หัวมันสด  30 KgCO2e/kg grain   ข้าวโพด  200-300 KgCO2e/ตันข้าวโพด  ไข่ 30-35 gCO2e/ฟอง  กุ้งขาวแวนนามัย 13.6 KgCO2e/กุ้ง 1 kg      ทั้งนี้บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ได้จัดทำเป็นเว็บไซด์เสนอต่อสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรแล้ว